ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ก็สามารถมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จทั้งในที่ทำงานและที่บ้านได้ เชื่อว่าใครๆ ก็อยากได้และอยากเป็นแบบนี้ แล้วต้องทำอย่างไรดี? ดังนั้นเรามาหาวิธีการเพื่อที่จะพาเราไปสู่จุดที่เราสามารถสร้างสมดุลของงานและครอบครัวกันได้ กับบทความนี้ได้เลย
การทำงานอย่างหนักกลายเป็นเรื่องน่าชื่นชม ยกย่อง และขอบคุณ หลายคนบอกว่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องทำงานอย่างหนัก เหมือนกับที่เราโดนสอนกันตั้งแต่สมัยเรียนว่าอยากสอบได้คะแนนดีๆก็ต้องอ่านหนังสือให้เยอะที่สุด แต่ข้อสอบที่ออกนั้นเป็นเพียงแค่กระดาษ 4-5 แผ่น จากหนังสือเกือบสองร้อยหน้าต่อวิชาที่เราต้องอ่านเท่านั้น สรุปว่าความทุ่มเทมันมากเกินไปหรือเปล่า หรือ ความทุ่มเทหากไม่อยากให้มันมากเกินไป จุดที่พอดีคือตรงไหน?
รูปแบบการทำงานที่ทุ่มเทจนน่ากลัว มักถูกพูดถึงกันว่าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คุณก้าวไปสู่จุดสูงสุดและกลายเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพได้ และจากการสำรวจทำให้เราพบว่าผู้จัดการหรือผู้บริหารมักชื่นชอบพนักงานที่ไม่มีชีวิตส่วนตัวให้รับผิดชอบมากมายนัก เพราะพวกเขาจะสามารถทุ่มเทให้กับงานได้เต็มที่โดยไม่มีห่วงหน้าห่วงหลัง แต่ในความจริงแล้วการที่คุณพร้อมที่ให้ชีวิตหมดไปกับการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับตัวคุณเอาเสียเลย
“ผู้นำไม่สามารถสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้”
Elon Musk ซีอีโอของ Tesla และ Space X โพสต์ข้อความลงใน Twitter ว่าไม่มีใครเปลี่ยนโลกได้ ด้วยการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เขาบอกว่า ตัวเขาเองแทบไม่ได้นอนหรือเห็นลูกๆ เลยด้วยซ้ำ Tim Cook ของ Apple มักจะส่ง Email ในเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และมหาเศรษฐีอย่าง Mark Cuban ก็ทำงานจนถึงตี 2 เพื่อเปิดตัวธุรกิจแรกของเขา และไม่ได้ลาพักร้อนเลยเป็นเวลานานกว่า 7 ปี หากอยากประสบความสำเร็จ มันต้องเป็นแบบคนเหล่านั้นเสมอไปเหรอ?
“ปัญหาคือการทำงานหนักกลายเป็นโรคเรื้อรังที่ยังคงลุกลาม”
ในการประชุมสุดยอดผู้นำรุ่นบุกเบิกที่ถูกจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี ได้มีหัวข้อการประชุมที่น่าสนใจเกิดขึ้น เหล่าผู้นำกำลังคิดหาวิธีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาสำหรับการใช้ชีวิตเสียบ้าง มีทั้งการแบ่งปันกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จและเรียนรู้จากความล้มเหลว หนึ่งในการพูดคุยพวกเขายังได้แบ่งปันรูปถ่ายของครอบครัวและพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตที่นอกเหนือจากงานกันอยู่ช่วงหนึ่ง จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มอภิปรายกันถึงขอบเขตการทำงานที่ไม่เคยมีใครรักษาได้ ทุกคนต่างทำงานหนักเกินไปและมันกลายเป็นโรคเรื้อรังที่กัดกินเวลาชีวิตของคุณ
“วางแผนวันหยุดพักผ่อน”
มีผู้นำรุ่นบุกเบิกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความสามารถในการลาพักร้อน เลิกทำงาน หรือการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและเพื่อนฝูงได้ดี ดังนั้นเพื่อให้ผู้นำมีความสามารถดังกล่าว คุณควรได้รู้จักกับ รายการวันหยุด ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ดีมากในการทำให้คุณมีช่วงเวลาให้ได้ใช้ชีวิตที่นอกเหนือจากการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะวางแผนวันหยุดพักผ่อนตามฤดูกาลของการทำงาน มอบหมายงานและตรวจสอบการทำงานของทีมที่จำเป็นในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ก่อนที่คุณจะพักผ่อน สร้างรายการสิ่งที่รอได้ 1 สัปดาห์ก่อนที่คุณจะหยุด และหลีกเลี่ยงการกำหนดเวลาการประชุมหนึ่งวันก่อนวันหยุด เพื่อตรวจสอบลำดับความสำคัญที่คุณได้จัดไว้
“เราแค่พยายามต่อไป ปรับปรุงต่อไป”
สิ่งที่คุณต้องการคือ การมุ่งเน้นไปที่ลำดับความสำคัญของงานแทนที่จะอยู่ในโหมดพร้อมรับงานหรือปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและคู่ค้าตลอดเวลา หยุดตอบ email หรือ เข้าร่วมการประชุม แต่ยากที่จะบอกให้หยุดเหตุฉุกเฉินต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น พยายามกำหนดลำดับความสำคัญและวิธีจัดการปัญหายุ่งยากอื่นๆ หากคุณรู้สึกว่าแผนของคุณยังไม่ดีพอให้ปรับปรุงมันจนกว่าจะกลายเป็นแผนที่คุณพอใจ คุณจะพบว่าการจัดลำดับความสำคัญเพื่อสร้างแผนวันหยุดขึ้นมาไม่ได้เหมาะแค่กับผู้นำเท่านั้น แต่เหมาะกับทุกคนที่ต้องการจัดสรรเวลาทำงานกับชีวิตให้ลงตัว
เนื่องจากผู้นำต้องสามารถรับมือกับแรงกดดันจากสภาพที่เป็นอยู่และสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานให้ได้ ผู้นำทุกคนจึงต้องฝึกฝนทักษะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ 3 ประการได้แก่
- การเรียนรู้ที่จะทำงานที่แตกต่างกับทีมในที่ทำงาน
- การวางแผนร่วมกับครอบครัวเพื่อให้ความสำคัญกับบ้านและครอบครัวเป็นอันดับแรก และ
- การเปลี่ยนกรอบความคิดของตนเองที่ไม่เพียงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้จริง
แต่ยังต้องให้สิทธิ์ตัวเองในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วย และเรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวของผู้นำกับการฝึกฝนความสัมพันธ์ทั้ง 3 ประการของพวกเขา
Ivan Axelrod วัย 72 ปี เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทจัดการการเงินใน LA เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไต่บันไดขององค์กรในฐานะหัวหน้าครอบครัวที่เน้นงาน รู้ตัวอีกที่เขากลายเป็นคุณปู่ไปเสียแล้ว พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตในตอนที่ลูกของเขายังเล็ก นั่นหมายความว่าปู่ย่าไม่เคยได้รู้จักหลานๆ ความคิดนี้ทำให้เขาต้องการสิ่งที่แตกต่างออกไป เพราะเขาอยากเป็นคุณปู่ที่หลานรู้จัก
“ฉันจะมอบความรับผิดชอบให้พวกเขามากขึ้น”
เมื่อลูกสาวของเขาต้องเตรียมตัวกลับไปทำงานหลังจากลางานไป 3 เดือนเพื่อคลอดลูกแล้ว คุณย่าเสนอให้เขาลางานสัปดาห์ละ 2 วัน เพื่อให้ตัวเขามีเวลามากขึ้น Axelrod คิดว่าเขาสามารถมอบหมายงานให้กับพนักงานคนอื่นๆ ได้ เขามีคนที่ดีและเก่งพอจะทำงานตรงนี้ได้ซึ่งจะเป็นการพัฒนาตัวของพวกเขาได้เร็วขึ้นด้วย แม้ตอนที่เสนองานนี้ให้กับลูกน้อง พวกเขาจะตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ แต่เขายังคงยืนยันที่จะทำมันมาตลอด
“หากคุณมีโครงสร้างองค์กรที่พร้อมจะช่วยให้บุคลากรมีความยืดหยุ่นในการทำงานทำเลย เพราะมันจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับองค์กร”
ผลที่ตามมาหลังจาก Axelrod เริ่มทำงานเพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนสามารถมีเวลาสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตควบคู่กันไปได้คือการส่งเสริมการทำงานที่ยืดหยุ่นและการทำงานจากระยะไกล นอกจากนี้ยังมีผลประโยชน์ทางอ้อมก็คือลดการเดินทาง ซึ่งเป็นความพยายามที่ช่วยลดการหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายในการสรรหาและฝึกอบรม แต่กลับเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ในวันจันทร์ Axelrod พาหลานสองคนของเขาไปโรงเรียน ทำงานที่บ้าน และไปรับพวกเขาหลังจากนั้น แน่นอนว่ายังมีเวลาเหลือให้พาพวกเขาไปเรียนว่ายน้ำหรือกินขนมก่อนกลับบ้านอีกด้วย
“ฉันมีส่วนร่วมมากในชีวิตของพวกเขา เมื่อฉันจากไป พวกเขาจะมีความทรงจำมากมาย”
Axelrod กล่าว่าคุณต้องเชื่อในแผนของคุณและพูดมันออกมา ชีวิตของเราถูกผสมผสานระหว่างงานกับชีวิตเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นการตัดใจทำงานให้น้อยลงหรือจัดสรรตารางเสียใหม่เขาต้องเชื่อการทำแบบนี้ไม่เพียงแค่สำคัญพอจะลองเท่านั้น แต่ยังต้องผ่านการลองผิดลองถูกหลายต่อหลายครั้งด้วย
“สิ่งที่เราเห็น มองหาแบบอย่างของเรา กำหนดสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปได้”
หากเราต้องการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราต้องการคืออ่านบทความเกี่ยวกับตารางงานของ CEO ที่ไร้มนุษยธรรมและบ้าบิ่นให้น้อยลง หยุดพยายามทำตัวเป็นผู้นำที่ไม่สนใจต้นทุนด้านสุขภาพ ครอบครัว และท้ายที่สุดคือนวัตกรรมและผลผลิตทางธุรกิจ ยิ่งเราได้ยินเรื่องราวของผู้นำเหล่านี้มากเท่าไร พวกเขาก็สะกดจิตตัวเองว่าหากอยากประสบความสำเร็จอย่างเขา เราจะต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำงานที่ยอดเยี่ยมและมีชีวิตที่ดี ผู้คนเริ่มเชื่อว่ามันเป็นไปได้เพราะมันเป็นอุปทาน ไม่ใช่เพราะมันเป็นจริง
บทสรุป
รูปแบบการทำงานที่เข้มข้น หนักหน่วง และบ้าบิ่น กลายเป็นการทำงานที่ได้รับการยกย่องว่าทุ่มเท และทุกบริษัทต่างต้องการพนักงานที่ขยันขันแข็ง แต่ความทุ่มเทไม่ได้หมายถึงการกลับบ้านช้าจนครอบครัวนอนแล้ว ไม่ได้หมายถึงการแบกงานกลับบ้านมาทำในวันหยุด ไม่ได้หมายถึงการทำโอทีโดยไม่เคยไปรับลูกที่โรงเรียน
กว่า 20 ปีที่ผ่านมาผู้นำพยายามพบปะและแลกเปลี่ยนแนวคิดใหม่ๆในการทำงานให้มีประสิทธิภาพโดยที่พวกเขายังคงมีเวลาให้กับการใช้ชีวิตด้วย ผู้นำจะสามารถยืดหยัดต่อแรงกดดันจากสภาพที่เป็นอยู่และให้ความสำคัญกับสมดุลในชีวิตการทำงานได้ ถ้าพวกเขารู้จักการจัดสรรเวลา ปฏิเสธงาน พักผ่อน โดยเรียงลำดับหน้าที่และความรับผิดชอบให้ดีที่สุด
สำหรับ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ก็สามารถมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จทั้งในที่ทำงานและที่บ้านได้ ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องคิดอยู่เสมอคือ
“เพื่อให้คุณเป็นผู้นำที่ยังคงได้ใช้ชีวิตนอกห้องประชุม คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะทำงานที่แตกต่าง วางแผนร่วมกับครอบครัวโดยให้ครอบครัวสำคัญมาเป็นอันดับแรก และที่สำคัญคือการเปลี่ยนกรอบความคิดของตัวเอง”
Reference:
You Can Be a Great Leader and Also Have a Life
บทความแนะนำ:
Time Management Skills ทักษะที่ช่วยให้เรามีสมุดลทั้งชีวิตและการทำงาน