วิธีค้นหาความหมายในงานของคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ชอบหรือรักในงานนี้ก็ตาม ถือเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่แตกต่างจากความเชื่ออีกชุดนึงที่ว่า ให้เลือกงานที่รัก แล้วคุณจะมีความสุขที่ได้ทำมัน แต่เอาเข้าจริงหลายๆ ครั้งคุณก็เลือกไม่ได้
หลายคนเติบโต ศึกษาเล่าเรียน และฝ่าฟันอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อให้ตัวเองได้ก้าวเข้าสู่สายอาชีพหรือเส้นทางในฝันตามที่ตนเองต้องการ แต่ความเป็นจริงที่พวกเขากลับได้เผชิญก็เป็นเพียงการ “ทำมาหากิน” ในงานที่สามารถทำได้ ทำเป็น หรือ ทำได้ดี เท่านั้น ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่างานเหล่านั้นจะต้องเป็นงานที่พวกเขาชอบซะด้วยซ้ำ
“ทำไมถึงเลือกทำงานนี้?”
มนุษย์เงินเดือนอย่างเราหลายคนพบว่าหลังเลิกงาน ขณะนั่งรถประจำทางกลับบ้าน หรือก่อนนอน เรามักจะตั้งคำถามว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่? งานที่เราเลือกมีความหมายอะไรกับเรา? หรือ งานนี้ที่เราทำอยู่ตรงกับแรงบันดาลใจข้อไหนในการมีชีวิตอยู่ของเราหรือเปล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราถูกมองข้าม ถูกเพิกเฉย ถูกเหยียดหยาม หรือ รู้สึกว่าเราไม่สำคัญ จากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานของเรา
“คุณไม่จำเป็นต้องช่วยชีวิตสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หรือรักษามะเร็งสำเร็จเพื่อค้นหาความหมายของงานที่ทำ”
จากผลสำรวจทั่วโลกจัดทำโดย Gartner พบว่า 56% ของพนักงานให้ความเห็นว่าพวกเขาต้องการมีส่วนร่วมกับสังคมที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่มากขึ้น แต่ด้วยระยะเวลาที่หมดไปกับการทำงาน การค้นหาคุณค่าหรือแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต จึงกลายเป็นการมองหาความหมายของงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่แทน และความหมายนั้นเองที่มีอิทธิพลสำคัญต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคนทำงานมาก ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการศึกษาเกี่ยวกับงานที่มีส่วนในการลดคุณค่าของตัวพนักงาน
วิธีค้นหาความหมายในงานของคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ชอบหรือรักในงานนี้ก็ตาม
1. สถานที่ทำงานที่เป็นพิษ:
หากหัวหน้าหรือผู้นำของคุณไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีในที่ทำงาน ส่งเสริมวัฒนธรรมในการรังแก เล่นพรรคเล่นพวก เล่นการเมืองในที่ทำงาน หรือ มองไปทางไหนก็พบเจอแต่ผู้คนที่ถูกปฏิบัติกันไปในทางที่ผิด นี่คือ สัญญาณเตือนอันดับแรกที่กำลังบอกว่าคุณไม่ควรอดทนต่อสถานแบบนี้ในที่แห่งนี้อีกต่อไป
“เพื่อนร่วมงานที่จับกลุ่มนินทา หัวหน้าที่ไม่เป็นธรรม และวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้น”
วิธีแก้ไข: หากคุณคือพนักงานที่ได้เจอกับมลพิษในที่ทำงาน ให้แจ้งผู้จัดการหรือผู้นำของคุณ หากพวกเขาก็เป็นอีกหนึ่งในผู้ร่วมก่อมลพิษในที่ทำงานของคุณ หรือ พวกเขาไม่สามารถกำจัดมลพิษที่ก่อตัวขึ้นได้ อาจถึงเวลาแล้วที่ต้องมองหางานใหม่ แต่ถ้าหากคุณกำลังทำงานอยู่ในบริษัทที่ชอบ แต่มีเพียงแค่แผนกหรือฝ่ายของคุณที่มีมลพิษหนาแน่น ให้คุณลองถามผู้นำหรือ คนที่มีสิทธิ์ หรือ มีอำนาจในอนุมัติการโยกย้ายภายในองค์กร เพื่อขอย้ายไปยังแผนกอื่นที่ดีกว่านี้ เช่นแผนกที่จะทำให้คุณได้รับการชื่นชมและมองเห็นคุณค่าในงานตัวเองทำได้มากกว่านี้ เป็นต้น
2. ไม่เคารพเวลาส่วนตัว:
วัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งของการทำงานที่บางคนอาจหลงผิดคิดว่าเป็นเรื่องของความขยัน หรือ พยายามบัญญัติว่ามันคือ เรื่องของความทุ่มเท แต่การทำแบบนี้ไปนานๆ กลับทำให้ชีวิตของพวกเขา ค่อยๆ โดนการทำงานกัดกินชีวิตส่วนตัว หรือ เวลาของครอบครัวไปทีละนิด นี่คือเรื่องของการไม่เคารพเวลาส่วนตัวของกันและกัน เราส่วนใหญ่ต่างทำงานกันเพียงแค่ 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่งานมักจะไม่จบในที่ทำงานสักที เพราะบางครั้งคุณอาจจะต้องกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์ที่บ้านเพื่อทำงานต่อสำหรับการพรีเซนต์งานพรุ่งนี้ หรือ การรับโทรศัพท์ตอนนอนเพราะหัวหน้าคุณโทรมาปรึกษาเรื่องการประชุมในวันพรุ่งนี้เป็นต้น
“ฉันกำลังตอบข้อความเกี่ยวกับงานของบริษัทให้กับเจ้านาย ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่โรงพยาบาลรอสามีออกจากห้องไอซียู”
วิธีแก้ไข: หากคุณพบว่าเวลางานของคุณมักล้นเกินจนมาเบียดเบียนเวลาส่วนตัว ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องพูดคุยกับผู้จัดการของคุณหรือหัวหน้าของคุณเกี่ยวกับการกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าคุณไม่สามารถทำงานตลอด 24 ชั่วโมงได้ คุณจำเป็นต้องเตือนพวกเขาเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ควรจะมีเส้นแบ่งกั้นให้ชัดเจน นอกจากจะเป็นการเคารพเวลาส่วนตัวของพนักงานแล้วยังช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อีกด้วย
3. ไม่มีเส้นทางอาชีพ:
หลายครั้งที่คุณต้องรู้สึกว่าความพยายามของคุณสูญเปล่า หรือไม่มีใครมองเห็น การเลื่อนตำแหน่ง การได้เป็นหัวหน้า หรือ การได้รับโอกาสในการเป็นเจ้าของผลงานชิ้นโบว์แดงสักชิ้น กลับมาไม่ถึงคุณสักที เมื่อมองไปแล้วแต่ละคนที่อยู่ในตำแหน่งเหนือคุณล้วนเป็นพนักงานเช้าชามเย็นชามที่ขาดความกระตือรือร้นในการทำงานทั้งสิ้น แต่พวกเขากลับได้อยู่ในตำแหน่งนี้ได้เพียงเพราะมีอายุการทำงานที่นี่นานกว่าคุณเท่านั้น
“ฉันเพิ่งถูกปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่ง พนักงานแต่ละคนที่นั่งรวมกันมีสีหน้าบูดบึ้ง ตาล้าบ่งบอกถึงการทำงานหนัก และแก่เร็ว สิ่งนี้ทำให้ฉันคิดว่าฉันจะไม่ยอมเป็นแบบนั้นแน่ๆ”
วิธีแก้ไข: หากการเลื่อนตำแหน่งของคุณถูกปฏิเสธ ให้ลองสาเหตุของการปฏิเสธนั้นก่อน สังเกตตัวเองว่ามีบทบาทใดที่คุณสามารถพัฒนาได้บ้างเพื่อให้ความสามารถของคุณเข้าตาหรือมีความหมายมากขึ้น หากเส้นทางอาชีพของคุณถูกหยุดชะงักให้ลองพิจารณาการย้ายไปยังเส้นทางอื่นอย่างการย้ายแผนก ย้ายบริษัท หรือ การทำงานรูปแบบอื่นที่ช่วยให้คุณคล่องตัวมากขึ้น และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ หรือความชอบของคุณมากขึ้น แค่มีเส้นทางอาชีพให้มองไกลออกไปก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้การทำงานในแต่ละวันมีความหมายมากขึ้น
4. สภาพแวดล้อมที่มีความเครียดสูงและขาดการสนับสนุน:
สภาพแวดล้อมในการทำงานมีผลต่อคนทำงานเสมอ ยิ่งหากคุณอยู่ในบริษัทที่มีการทำงานกันอย่างไม่หยุดพัก ทุกคนจริงจังในการทำงาน การพูดคุย ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นมีงานเป็นส่วนประกอบไปเสียหมด สภาพแวดล้อมแบบนี้อาจทำให้คุณเกิดความเครียดสูง หรือเกิดอาการวิตกกังวลได้
“ฉันจัดการร้านขายของชำและทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ติดต่อร้านได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน”
วิธีแก้ไข: พนักงานจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดประสิทธิผลหากอยู่ภายใต้ความเครียดตลอดเวลา หากนี่คือสถานการณ์ที่ทำงานของคุณ ให้คุณพูดคุยกับฝ่ายบริหารเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือในการบรรเทาความเครียดในที่ทำงาน และมองหาความสมดุลระหว่างความจริงจังและความผ่อนคลายในที่ทำงานให้ได้
5. ไม่ฟังหรือตอบกลับความคิดเห็น:
ผลงานที่ออกมาจากบริษัทเรียกได้ว่าเป็นชิ้นงานของพนักงานทุกคน เนื่องจากบริษัทสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพนักงานทุกคน ดังนั้นเมื่อมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะใดๆ เกิดขึ้น แต่กลับไม่มีคนรับฟัง หรือความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเหล่านั้นถูกมองข้าม พวกเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญต่อทีมหรือบริษัท ซึ่งอาจส่งผลต่อความกระตือรือร้นและประสิทธิภาพการทำงานที่พวกเขาทำได้
“ฉันได้นัดหมายกับหัวหน้าเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวคิดบางอย่าง เมื่อฉันเริ่มพูดคุยถึงการมองหาทางแก้ไขของปัญหาดังกล่าว หัวหน้ากลับบอกว่าสิ่งเดียวที่ฉันควรทำคือ ใส่ใจให้น้อยลง”
วิธีแก้ไข: ทุกความคิดหรือข้อคิดเห็นไม่ใช่ผู้ชนะ ถ้าคุณต้องการช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้บริษัทไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ปรากฎว่าทุกความคิดเห็นที่คุณเสนอไปถูกปฏิเสธ ให้คุณลองพูดคุยกับผู้จัดการหรือหัวหน้าคุณเพื่อหาสาเหตุ ขอรายละเอียด เพื่อมองหาทางแก้ไขในข้อคิดเห็นเหล่านั้น เพราะคุณสามารถนำรายละเอียดเหล่านั้นไปปรับปรุงข้อคิดเห็นเพื่อให้ข้อคิดเห็นครั้งต่อไปของคุณถูกยอมรับได้
6. การแบ่งแยก:
แม้ว่าในศตวรรษนี้จะมีรณรงค์ในเรื่องการยอมรับความแตกต่างมากมาย แต่เราต้องยอมรับว่าบางครั้งการยอมรับก็เป็นเพียงนามธรรมที่ไม่เคยมีใครทำให้มันเกิดผลลัพธ์ในรูปธรรมเสียที การแบ่งแยกมากมายยังคงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเรื่องเพศ รูปลักษณ์ภายนอก ฐานะ มหาวิทยาลัยที่เรียนจบมา หรือแม้แต่สีผิว คนมากมายยังคงมีอคติเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ เพราะพวกเขาไม่ได้เข้าใจแต่พวกเขาแค่เพียงปิดบังมันไว้ไม่ให้ใครรู้เท่านั้น
“ฉันเป็นอัมพาตครึ่งขาและใช้วีลแชร์แบบใช้มอเตอร์ เพื่อเดินทางไปทำงาน รถบัสที่มาถึงก็ไม่มีลิฟต์สำหรับรถเข็น ฉันไม่สามารถขึ้นรถบัสได้ ฉันรู้สึกอาย อารมณ์เสีย โกรธ และรู้สึกเงียบ ทำไมไม่มีใครคิดเกี่ยวกับความต้องการของฉันบ้างเลย?”
วิธีแก้ไข: ความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกไม่ควรเป็นเพียงแค่การรณรงค์บนเว็บไซต์ของบริษัท แต่ควรเป็นความมุ่งมั่นในการปฏิบัติจริงเพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกในสังคม ทุกคนควรเริ่มที่จะเข้าใจและยอมรับกันให้ได้ดีขึ้นในทุกด้านของความหลากหลาย ซึ่งรวมถึงการจำกัดความสามารถใครจากอายุและไม่เลือกปฏิบัติด้วย
บทสรุป
จากการสำรวจพบว่าพนักงานมากถึง 86% ชอบที่จะทำงานให้กับบริษัทที่ใส่ใจในเรื่องเดียวกันกับพวกเขา หากคุณรู้สึกว่าในแต่ละวันที่ต้องออกไปทำงานกลายเป็นทางตัน สิ่งที่คุณทำได้คือมองกำแพงตรงหน้าเพราะมองไม่เห็นเส้นทางที่จะเดินไปต่อ ให้คุณลองพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้กำแพงในใจคุณถูกก่อขึ้นมา คุณอาจจะต้องเริ่มคิดหาวิธีแก้ไขหรือมองหางานใหม่ที่มอบความหมายและแรงบันดาลใจให้กับคุณ งานที่มีความหมายจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ซึ่งนั่นคือองค์ประกอบสำคัญในการใช้ชีวิตให้น่าพึงพอใจ
“งานที่มีความหมาย จะทำให้ชีวิตในแต่ละวันของคุณถูกเติมเต็มด้วย “อาชีพ” ไม่ใช่ “แค่งาน”
Reference:
How to find meaning in your work (even at a job you don’t love)
บทความแนะนำ:
ทำไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง? – 8 เหตุผลและสาเหตุ ว่าทำไมคุณถึงไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง
7 เหตุผลที่ทำให้คนฉลาดหรือคนที่ทำงานหนักไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ