การขอโทษ หรือ การยอมรับว่าตัวเองผิด ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งดูเป็นเรื่องยากเหลือเกิน เพราะมันอาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับใครหลายๆ คนที่จะกล้าที่จะเริ่มต้นด้วย การขอโทษ หรือ การยอมรับว่าตัวเองผิด ถึงแม้ว่าตัวพวกเขาเองจะเป็นคนผิดก็ตาม
คำว่า “ขอโทษ” กลายเป็นคำที่มีอิทธิพลมาก เมื่อมันสามารถแสดงว่าผู้พูดกำลังยอมรับความผิดหรือ ผู้พูดกำลังบอกว่าผู้ฟังเป็นคนผิด เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะคำว่าขอโทษประกอบไปด้วย การรับผิดชอบ การยอมรับความผิด การแสดงความเห็นอกเห็นใจและความเต็มใจที่จะทำให้ถูก ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้จะถูกเติมเต็มก็ต่อเมื่อผู้พูดต้องการเช่นนั้น เพราะการขอโทษ อีกรูปแบบหนึ่งคือ การแสดงออกที่ไร้ซึ่งองค์ประกอบดังกล่าวโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็เปรียบเสมือนการพูดว่าขอโทษเพียงแค่ให้มันจบๆ ไป โดยไม่ได้รู้สึก หรือ ต้องการขอโทษจากใจจริง
“คำขอโทษ มักจะติดคอเราหรือ มักออกมาผิดทาง”
การขอโทษนั้นยาก มันชอบกลายเป็นคำก้อนใหญ่ติดอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก หรือบางทีก็ออกมาผิดทางจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกิดขึ้น แม้แต่คำขอโทษที่มีเจตนาดีเป็นองค์ประกอบก็ไม่ได้หมายความว่าจะจบ Happy Ending เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น ทีมฟุตบอลของคุณพ่ายแพ้ในการแข่งขัน คุณพูดกับเพื่อนร่วมทีมว่า “ฉันขอโทษที่แย่งลูกบอลไป ฉันพลาดเอง ทำให้ทีมของเราเลยต้องแพ้” กับ “ฉันขอโทษที่แย่งลูกบอลไป แต่คุณเองก็เล่นไม่ได้เรื่องเองนี่นา” สองประโยคนี้กำหนดได้เลยว่าคนอื่นจะปฏิบัติต่อนักฟุตบอลคนนี้อย่างไร? และบอกได้เลยว่านักฟุตบอลคนนี้เป็นคนเช่นไร?
“อย่าทำลายคำขอโทษด้วยข้อแก้ตัว”
เมื่อพูดถึงการขอโทษ คำอธิบายและการให้เหตุผลไม่น่าสงเสริมการแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง แม้แต่สังคมไทยเองก็มีสุภาษิตที่บอกว่า คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว อาจจะฟังดูแรงไปสักนิด แต่ก็เป็นสิทธิ์ของคุณว่าคุณจะเลือกเป็นคนไหนในการกระทำความผิดของคุณ บางครั้งการปล่อยให้ทุกอย่างจบด้วยการขอโทษ อาจเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่าการที่คุณพยายามอธิบายว่าคุณทำผิดไปเพราะอะไร ไม่ใช่ทุกคนที่จะพยายามคิดจากมุมมองของคุณ เมื่อความผิดของคุณส่งผลถึงคนอื่น และมันนำมาซึ่งความเดือดร้อนให้กับคนอื่น พวกเขาจะโฟกัสที่ความเดือดร้อนที่คุณสร้างให้เขา ไม่ได้โฟกัสที่เหตุผลว่าอะไรที่ทำให้คุณผิดพลาด
ปัจจัยที่ทำให้คำขอโทษได้ผล
แม้ว่าการขอโทษ จะไม่มีสูตรสำเร็จหรือหลักสูตรสอนตามโรงเรียนประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษา แต่มีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้คำขอโทษนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุดตามความสามารถของมัน โดยคุณสามารถเรียนรู้มันได้ ดังต่อไปนี้
- การใช้คำว่า “ฉันขอโทษ”
- พูดแค่สิ่งที่คุณเสียใจหรือรู้สึกผิด
- รับผิดชอบและยอมรับความผิด
- เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
- ถ่ายทอดอารมณ์ไปให้ถึงผู้ฟัง เช่น เสียใจหรือสำนึกผิด เป็นต้น
- แสดงความปรารถนาและความเต็มใจที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
สิ่งสำคัญที่สุดจากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นคือ ความจริงใจในการขอโทษของคุณ แม้ว่าคำพูดจะฟังดูไม่สมบูรณ์แบบแต่ถ้าพูดจากใจจริงด้วยเจตนาที่ดี คำขอโทษนั้นจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าคุณห่วงใยพวกเขาและพร้อมแก้ไขความผิดดังกล่าวมากแค่ไหน
“ไม่ขอโทษ”
โดยปกติแล้วคนเรามีแรงจูงใจสูงมากที่จะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองในเชิงบวก การขอโทษจำเป็นต้องยอมรับว่าตัวเองทำความผิด เพราะฉะนั้นการแก้ตัวเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองจึงง่ายกว่าการยอมรับว่าตัวเองนั้นผิด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนเราถึงเลือกแก้ตัวมากกว่าขอโทษ นอกจากนี้อุปสรรคอีกหนึ่งอย่างของการพูดคำว่า “ขอโทษ” คือการที่เราประเมินความเสียหายของการพูดแก้ไขอดีตสูงไป และประเมินผลกระทบเชิงบวกของการยอมรับผิดที่จะกำหนดอนาคตของคุณต่ำไป กล่าวคือเราคิดว่าการแก้ตัวเรื่องราวในอดีตจะส่งผลเชิงบวก ซึ่งความจริงแล้วมันกลับส่งผลกระทบเชิงลบต่ออนาคตของคุณมากกว่า
“แม้คำว่าขอโทษไม่ได้มาง่ายๆ แต่สำหรับบางคนก็มาง่ายเกินไป”
สำหรับบางคนแล้วเมื่อโดนเหยียบเท้า เขาจะเป็นคนแรกที่พูดคำว่า “ฉันขอโทษ” ทันทีเลย บางคนขอโทษสภาพอากาศ การจราจรที่เลวร้าย คิวที่ยาวเหยียดในโรงอาหารหรือสถานการณ์ไม่พึงประสงค์อื่นๆ ทั้งหมดระหว่างวัน เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็น Sorry Syndrome ซึ่งอาการนี้ส่วนใหญ่ที่เป็นในเรื่องนี้มักเป็นผู้หญิง พวกเธอมักใส่คำว่าขอโทษลงในประโยคขอร้องเสมอยกตัวอย่างเช่น “ขอโทษนะคะ ขอน้ำสักแก้วได้ไหม” หรือ “ขอโทษค่ะ ขอทางหน่อยได้ไหมคะ” คำว่าขอโทษ ถูกใช้เป็นไม้ค้ำเพื่อทำให้การขออะไรบางอย่างเป็นไปได้โดยสุภาพและดูนุ่มนวล
เหตุใดเราจึงยืนกรานที่จะขอโทษโดยไม่มีเหตุผล?
จากการศึกษาของ Harvard Business School พบว่า คำขอโทษที่ไม่จำเป็น (หมายถึงการขอโทษโดยไม่ได้สร้างความผิดหรือปัญหาใดๆ เลย) สามารถช่วยสร้างความไว้วางใจได้ ยกตัวอย่างเช่น การขอโทษก่อนขอยืมสิ่งของบางอย่าง หรือ การขอโทษก่อนขอความช่วยเหลือ จะมีแนวโน้มได้รับความช่วยเหลือมากกว่าเดิม ดังนั้นคำขอโทษจึงกลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและใช้งานง่ายสำหรับการเพิ่มอิทธิพลทางสังคมและเพิ่มความไว้วางใจ
“ลองเปลี่ยนคำว่า “ขอโทษ” เป็น “ขอบคุณ”
การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้พิสูจน์ว่าการขอโทษทุกสิ่งทุกอย่างจะช่วยคุณได้ในทุกเรื่อง หากคุณต้องการลดจำนวนคำขอโทษที่ฟุ่มเฟือยที่หลุดปากออกไป ให้ลองเปลี่ยนคำว่า “ขอโทษ” เป็นคำว่า “ขอบคุณ” ดู
ยกตัวอย่างเช่น “ขอโทษที่ทำห้องรก” เป็น “ขอบคุณที่จัดห้องให้” เป็นต้น นอกจากนี้หลายครั้งที่การขอโทษเป็นเหมือนการปฏิเสธท่าทางดีๆของคนอื่นซึ่งดูแปลกและไม่นุ่มนวลอย่างที่ควรจะเป็น แต่คำว่าขอบคุณเป็นเหมือนการรับรู้และยอมรับน้ำใจจากคนอื่นซึ่งดูนุ่มนวลและมีมารยาทมากกว่า
บทสรุป
“ขอโทษ” เป็นเพียงคำหนึ่งคำที่ออกเสียงไม่ยากและไม่ได้มีตัวสะกดอะไรที่ลำบากต่อการขยับลิ้น ริมฝีปาก หรือฟันซี่ไหน แต่คนกลับพูดมันออกมายากเย็นเมื่อตัวเองทำผิด สิ่งที่ทำให้มันยากไม่ใช่การเปล่งเสียงออกมา แต่เป็นการยอมรับว่าตัวเองนั้นผิด เมื่อคนเราให้ความสนใจในภาพลักษณ์ที่ต้องสมบูรณ์แบบไร้ที่ติด คำว่าขอโทษจึงกลายเป็นเหมือนการบอกว่าตัวเองมีร่องรอยขีดข่วนที่ไม่น่าพึงพอใจเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทุกคนลืมไปคือไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และเหนือกว่าการรักษาภาพลักษณ์ให้ดูสวยหรูคือการรักษาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นต่างหาก
นักเขียนการ์ตูน ลินน์ จอห์นสตัน อธิบายว่า “ขอโทษ” เป็นเหมือนกาวที่เหนือกว่าชีวิต เพราะมันสามารถซ่อมแซมได้เกือบทุกอย่าง แม้ว่าคำขอโทษจะไม่สามารถแก้ไขความผิดได้ แต่มันสามารถทำให้กระบวนการเยียวยาจิตใจเริ่มต้นทำงานได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องลองชั่งใจดู ระหว่างการพูดจาแก้ไขอดีตที่ผ่านไปแล้วเพื่อลบตำหนิที่เกิดขึ้นกับการขอโทษเพื่อรักษาความสัมพันธ์อนาคตที่ดีเอาไว้
“คำขอโทษที่ดีก็เหมือนยาปฏิชีวนะ คำขอโทษที่ไม่ดีก็เหมือนกับการเอาเกลือถูแผล”
Reference:
Substitute for Apology: Manipulation of Cognitions to Reduce Negative Attitude toward Self
How to Apologize and Why It Matters
บทความแนะนำ:
Procrastination Hack- จัดการผัดวันประกันพรุ่งด้วย 7 วิธีการง่ายๆ แต่ได้ผลลัพธ์