32 Great Psychological Tips เป็นวิธีการทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์โดยอาศัยหลักการทางจิตวิทยา ซึ่งเขาได้มีการพิสูจน์กันมาแล้วว่าได้ผลจริง
มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความซับซ้อนสูง เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อกินอิ่ม นอนหลับเหมือนสัตว์ชนิดอื่นบนโลก แต่ด้วยกลไกในสมองที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน ทำให้เราแตกต่าง ความซับซ้อนในบางมุมของมนุษย์เรากลับทำให้เราดูน่าค้นหา และเป็นเสน่ห์ไปอีกแบบหนึ่งเช่นกัน
“จิตใจของมนุษย์มีความเป็นมืออาชีพในการเก็บซ่อนความลับเอาไว้”
การกระทำหรือพฤติกรรมที่เราเลือกทำ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังต้องเคยตั้งคำถามกันบ้าง ว่าเราทำสิ่งเหล่านี้ทำไม ทำไมเราแบบนี้ หรือตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่กันแน่ เพราะภายใต้การกระทำที่น่าค้นหามีความลับแอบซ่อนอยู่เสมอ หากเราสามารถอ่านการกระทำเหล่านั้นเพื่อเข้าใจถึงความลับที่ถูกซ่อนไว้ได้ เราคงได้เปรียบทั้งในการทำงาน การใช้ชีวิต หรือแม้แต่ความรัก
ในบทความนี้แอดมินก็เลยจะพาทุกคนไปล้วงความลับ หาความจริงจากการกระทำในรูปแบบต่างๆ ของมนุษย์ ด้วย 32 วิธี ด้วยการใช้จิตวิทยาอ่านความคิดของคนกัน
32 Great Psychological Tips ใช้หลักจิตวิทยาอ่านใจคน
1. เนียนแอบมองตอนขำ
ไม่ว่าคุณจะได้เป็นผู้ชมที่เฝ้าสังเกตการณ์หรือเป็นคนที่แอบมองเสียเอง ลองนึกย้อนถึงวงสนทนาที่ตลกขบขำดู ในตอนที่เราเล่าเรื่องตลก เราจะเผลอแอบมองคนที่เราชอบที่สุดในวงโดยไม่รู้ตัว เพราะสมองของเราสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับเราว่าเขาหรือเธอคนนั้นที่คุณชอบ จะชื่นชอบความบันเทิงที่คุณเป็นคนเล่าอยู่หรือไม่
2. ถูกกว่าราคาปกติคือซื้อ
ทริคที่ใครที่ทำอาชีพค้าขายพลาดไม่ได้ก็คือ การตั้งราคาของให้แพง แล้วติดป้ายว่าจัดโปรโมชั่นลดราคาเหลือเท่ากับราคาที่ต้องการขาย ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะตกหลุมพรางนี้อย่างง่ายดาย ต่อให้จะตั้งเป้าหมายมาในใจแล้วว่าจะซื้อของไม่เกินงบ แต่หลายต่อหลายคนก็แพ้ให้กับโปรโมชั่นลดราคาประเภทนี้เสมอ เพราะมองว่านี่สิคุ้ม พลาดไม่ได้เด็ดขาด
3. ความทรงจำเปลี่ยนแปลงได้
ในหนังหรือมิวสิควิดีโอเพลงเศร้ามักบอกว่าความทรงจำเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ แต่ความจริงแล้วความทรงจำของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง เราเก็บความจำเอาไว้เหมือนกับหนังสั้นในส่วนหนึ่งของสมอง ในบางครั้งหนังของคุณอาจจะเลือนราง หรือหลงลืมบางฉากไปบ้าง แต่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ๆสามารถเปลี่ยนเป็นความทรงจำเดิมหรือสอดแทรกบางตัวละครเข้าไปในห้วงความทรงจำเหล่านั้นได้ เหมือนกับเรากำลังเขียนบทเพิ่มให้กับหนังพวกนั้น
4. ตื่นเต้นก็ต้องเคี้ยว
เมื่อเราเกิดอาการประหม่าหรือตื่นเต้นในการทำอะไรสักอย่าง การเคี้ยวหมากฝรั่งหรือเคี้ยวอาหารอะไรสักอย่างสามารถช่วยลดความประหม่าเหล่านั้นลงได้ แต่ก็ต้องรู้กาลเทศะและความเหมาะสมด้วย เพราะถ้าจะให้เคี้ยวหมากฝรั่งระหว่างประชุมก่อนนำเสนองาน คงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเท่าไร
5. สนใจแต่ผล ระหว่างทางช่างมัน
ในการทำงานเรามักจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ก่อน แล้วเลือกวิธีการเพื่อทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้บรรลุ แต่โลกเราก็มีคนหลายประเภท เพราะบางคนก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้โดยไม่ได้สนใจวิธีการ จะถูกผิด ยากง่าย หรือใครต้องลำบากก็ไม่เป็นไร แต่ผลลัพธ์ต้องเป็นตามที่ต้องการ แอดแนะนำว่าอย่าทำงานกับคนแบบนี้เลย สักวันเราอาจจะต้องลำบากเอง เพราะเขาสนใจแค่ตัวเองเหมือนกับที่สนใจแค่ผลลัพธ์เช่นกัน
6. Dunbar’s Number
ตัวเลขที่สร้างข้อจำกัดในการทำงานของสมองมนุษย์ในการรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นให้ยั่งยืน แม้เราจะถูกห้อมล้อมไปด้วยคนมากมาย แต่เราไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับทุกคนเอาไว้ได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีเพื่อนใน Facebook ทั้งหมด 1,000 คน เราจะสามารถจดจำและรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้แค่ 50-200 เท่านั้น
7. อยากได้ก็แค่มอง
ระหว่างที่เรากำลังฟังเรื่องเล่าจากคนอื่น เราอาจจะค้นพบว่าเขาไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมด มีความจริงหรือความลับบางอย่างที่เขาข้ามไป ไม่ยอมพูดออกมา จะให้เซ้าซี้ให้เขาพูดออกมายิ่งเป็นการทำให้เขาปิดปากแน่นเข้าไปอีก ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือมอง มองเข้าไปที่ตาเขา ระหว่างที่เขาเล่าจนกระทั่งจบเรื่อง แล้วเขาจะเป็นคนพูดสิ่งที่เราต้องการรู้ออกมาเอง โดยที่เราไม่ต้องร้องขอ
8. ยิ่งเยอะ ยิ่งเลือกยาก
การมีตัวเลือกเยอะไม่ได้ดีเสมอไป เพราะในการตัดสินใจแม้เราจะเปรียบเทียบคุณสมบัติข้อดีข้อเสียของตัวเลือกแต่ละอันแล้ว ก็จะเกิดความขัดแย้งในหมู่ตัวเลือกเสมอ ยิ่งตัวเลือกเยอะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็เพิ่มขึ้นตาม เมื่อตัดสินใจเลือกสักตัวเลือกแล้ว เราจะเสียใจที่ไม่เลือกตัวเลือกที่เหลือ และต่อให้กลับไปเปลี่ยนเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง เราก็จะเสียใจที่ไม่เลือกตัวเลือกอื่นที่เหลืออีกอยู่ดี
9. ว่างแล้วหงุดหงิด
ถ้าคุณใช้เวลาเดิน 10 นาทีเพื่อไปรับกระเป๋าตอน 10:10 ได้อย่างพอดี ทุกอย่างจะราบรื่นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันจะกลายเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดทันที ถ้าสมมติคุณเจอทางลัดและคุณใช้เวลาเดินแค่ 2 นาที ทำให้คุณต้องไปยืนรอกระเป๋าอีก 8 นาที ซึ่งเป็นการรอที่น่าหงุดหงิดเป็นบ้า เพราะการทำงาน กระตือรือร้น และการไม่อยู่เฉยแสดงถึงความทะเยอทะยานของมนุษย์ บางคนจึงหงุดหงิดเมื่อเขาต้องว่าง หรืออยู่เฉยๆโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร
10. มองเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
ทริคนี้เป็นสิ่งที่เราโดนแนะนำบ่อยมาก แต่เรามักมองข้ามและคิดว่าใครจะไปทำได้ นั่นก็คือการมองคนที่สัมภาษณ์งานเราให้เป็นเสมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เราไม่สามารถเปลี่ยนหน้าตาเขาได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแค่คิด หลอกสมอง เพราะนอกจากคุณจะสบายในใจแล้ว มันจะช่วยให้คุณมีรอยยิ้มที่ธรรมชาติระหว่างการสัมภาษณ์ ซึ่งรอยยิ้มสำคัญมากในการสัมภาษณ์งาน มันทำให้คุณดูเป็นคนดีและช่วยให้ผู้สัมภาษณ์เราผ่อนคลายด้วยเช่นกัน
11. อุปทานหมู่
ถ้าใครเป็นแฟนคลับหลายการผี จะได้ยินคำนี้บ่อยมาก เพราะเป็นคำที่เราใช้ปลอบใจเมื่อเรารู้สึกถึงความน่ากลัวจากบางอย่างพร้อมกันกับคนอื่น แต่อุปทานหมู่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องโชคลาภในการพนัน หรือโชคชะตาแห่งความรัก ซึ่งทั้งหมดเป็นความบังเอิญที่ส่งผลต่อความคิดอย่างหนัก เพราะคนเราต้องการสิ่งพวกนั้นจริงๆ ความบังเอิญเพียงเล็กน้อยช่วยเติมเต็มความต้องการ ทำให้คนเราเชื่อและเกิดอุปทานหมู่ขึ้น
12. เก็บไม่ไหว เลยเททิ้งหมด
สมองของคนเราสามารถรับเรื่องได้ไม่เกิน 3-4 เรื่องในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ (ซึ่งเป็นเรื่องไม่ควร) แล้วขอที่อยู่ของปลายสาย แน่นอนว่าคุณไม่สามารถจดบันทึกมันได้ คุณพยายามจะจำมันให้ได้ พร้อมกับขับรถให้ปลอดภัยถึงบ้านไปด้วย คุณจะจบด้วยการขับรถถึงบ้านแล้วต้องโทรไปถามที่อยู่ปลายสายใหม่อีกรอบ เพราะสมองของคุณอาจจะจำได้แค่แขวงหรือถนนเท่านั้น
13. กระจกด้านหลัง
หากคุณทำงานในตำแหน่งที่ต้องพบปะคนมากมาย มีการพูดคุย เจรจาหรือต่อรองที่โต๊ะทำงานของคุณเสมอ ให้คุณติดกระจกเอาไว้ที่หลังเก้าอี้ของคุณ ตำแหน่งที่พอจะทำให้ทุกคนที่เข้ามาคุยกับคุณได้เห็นใบหน้าของตัวเอง มันจะทำให้ทุกคนพูดคุยกับคุณดีขึ้น ยิ้มแย้มขึ้น เพราะไม่มีใครอยากเห็นหน้าตัวเองตอนเป็นนางยักษ์อยู่แล้ว
14. ผิดพลาดบ้างก็ได้
เมื่อเราเข้าสังคม ได้พบปะผู้คนมากมาย บางทีเราอาจจะเผลอกดดันตัวเองจนเกินไปว่าเราต้องเป็นคนที่เพอร์เฟ็กต์ เราผิดพลาดไม่ได้ หากเดินบนถนนก็ห้ามสะดุดหินสักก้อน แต่ความจริงแล้วความเพอร์เฟ็กต์เป็นสิ่งที่มักโดนรังเกียจ ความผิดพลาดเล็กน้อยกลับทำให้คนอื่นมองคุณด้วยความเอ็นดูมากขึ้น หากสะดุดหินสักก้อนบนถนน อย่าคิดว่าคนอื่นจะตำหนิว่าคุณโง่ เดินไม่ดูทาง เพราะคนส่วนใหญ่มักมองคุณด้วยความเอ็นดูต่างหาก
15. G_ _ D
จากคำข้างบน ถ้าคุณพบมันในสมุดการบ้าน คงเดาไม่ยากว่ามันต้องเป็นคำว่า GOOD ที่แปลว่าดีแน่ๆ คนเราสามารถรู้ได้โดยประสบการณ์ สัญชาตญาณ และความรู้ที่มีว่าคำที่เราเห็นมันคือคำว่าอะไร แม้เราจะเห็นผ่านๆแค่ตัวแรกและตัวสุดท้ายเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบว่าหากเราสลับตัวอักษรตรงกลาง แต่ใช้ตัวแรกและตัวท้ายเหมือนเดิม เราจะยังสามารถอ่านมันออกได้อย่างถูกต้องเหมือนเดิมด้วย เช่น I hvae a dneiner wtih m_m and d_d เป็นต้น
16. หาวเป็นโรคติดต่อ
หากคุณกำลังสงสัยว่าใครกำลังแอบมองคุณอยู่หรือเปล่า ให้ลองหาวดู ถ้าเขาหาวตามแปลว่าเขาแอบมองคุณอยู่ เราอาจจะเคยพูดกันเล่นๆ แต่มันคือความจริงที่หาวเป็นโรคติดต่อ เพียงแค่เห็น ได้ยินเสียง หรือนึกถึง เราก็หาวตามได้
17. The Kuleshov Effect
เป็นเทคนิคการตัดต่อภาพที่อาจจะไม่เกี่ยวกัน มาเรียงต่อกัน ทำให้มันเกิดเป็นเรื่องราวหรือความหมายใหม่ ที่แล้วแต่ผู้ชมจะตีความและจินตนาการเอา ซึ่งเหมือนกันกับความคิดของคนเรา เมื่อเราเห็นสิ่งของ เหตุการณ์ รูป หรือบางอย่างซึ่งต่อให้มันจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่เราเห็นมันในเวลาที่ติดกัน สมองขอเราจะเผลอเชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ โดยที่ความเป็นจริงอาจจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยก็ได้
18. ฝันโดยไม่หลับตา
นักวิทยาศาสตร์พบว่าในเวลา 1 วัน คนเราใช้เวลาไปเกือบ 30% ไปกับการฝันเฟื่อง จมอยู่กับความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการในชีวิต อาจจะเป็นการมีชีวิตที่ดี การแต่งงาน การมีลูก ร่ำรวยเงินทอง หรือการมีสุขภาพที่ดี เพราะบางครั้งเราก็อยากจะหนีจากความเป็นจริงไปเพียงชั่วครู่ และนี่ไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย เพราะการฝันลักษณะนี้ช่วยลดความเครียดได้ด้วย
19. Snack Man
หากมีคนกำลังทะเลาะกัน ให้ถือของกินแล้วเดินเข้าไปห้าม แล้วพวกเขาจะหยุดทะเลาะกัน น่าแปลกใจที่วิธีแปลกๆแบบนี้สามารถใช้ได้จริง โดยมันเริ่มจากคลิปวิดีโอคนทะเลาะกัน แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งเดินถือขนมพริงเกิลส์เข้าไปห้ามพวกเขา ปรากฏว่าพวกเขาใจเย็นลงและเลิกทะเลาะกัน หลังจากนั้นผู้ชายที่เข้าไปห้ามก็โด่งดังอย่างมากในโลกออนไลน์ในชื่อ Snack Man ทางจิตวิทยาแล้วอาหารเป็นสิ่งที่กินแล้วสร้างความสุขและผ่อนคลาย เราจะรู้สึกว่าไม่ควรทำร้ายหรือโมโหใส่คนที่กำลังกินอาหาร
20. Body negative
ความคิดเชิงลบเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก เป็นความคิดเกี่ยวกับตัวเอง ที่คิดว่าตัวเองน่าเกลียด ไม่สวย อ้วนไป ผอมไป ดำไป ขาวซีดเกินไป ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ และมองโลกแง่ลบอยู่บ่อยๆ ซึ่งความคิดเหล่านี้ต่างหากที่แย่และทำร้ายคุณ มันทำให้คุณล้มเหลว ไม่มีความมั่นใจในการใช้ชีวิต ทุกคนมีเสน่ห์ในตัวเอง ไม่สำคัญว่าคุณจะมีรูปลักษณ์ภายนอกอย่างไร แค่มั่นใจก็มีเสน่ห์ดึงดูดแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าให้ความคิดแย่ๆดึงให้คุณล้มเหลว
21. อาหาร เซ็กส์ อันตราย
มนุษย์ล้วนมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ในตัวเสมอ มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และมันส่งผลลบในบางครั้งที่มันอาจจะมากไปจนเกิดปัญหา ซึ่งทุกอย่างที่คนเรามักให้ความสนใจมักเกี่ยวกับอาหาร เซ็กส์ และอันตราย เสมอ ไม่ว่าจะเกี่ยวโดยทางตรงหรือทางอ้อม ยกตัวอย่างเช่นการที่เราชะเง้อออกไปดูคนข้างบ้านตีกัน มุงดูคนโดนรถชน รุมซื้ออาหารที่จัดโปรโมชั่น มองหาคนที่มีแนวโน้มสนใจคุณในผับ เป็นต้น
22. อยากให้ช่วยต้องชวนคุยให้เผลอ
ก่อนหน้านี้เคยมีช่วงหนึ่งที่โลกออนไลน์แชร์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับคนที่คุยโทรศัพท์อยู่ จะรับของทุกอย่างจากคนอื่นโดยไม่ปฏิเสธหรือถามอะไรเลย เพราะพวกเขาเผลอ กว่าจะรู้ตัวก็รับมาแล้วหลายชิ้น ซึ่งนี่คือทฤษฏีเดียวกันเลย เมื่อคุณอยากได้ความช่วยเหลือจากใครสักคน ให้ชวนคุยจนเขาเผลอ แล้วยื่นของให้เขาดู เขาจะช่วยคุณโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย
23. Survivorship Bias
มันคืออคติเกี่ยวกับคนที่ประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่เวลาดูโทรทัศน์หรือเสพสื่อผ่านช่องทางต่างๆ แล้วเห็นคนที่ประสบความสำเร็จ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มักเกิดอคติว่าพวกนั้นเกิดมาโชคดี รวย ใช้ชีวิตหรู หรือเผลอนึกอคติเกี่ยวกับความสำเร็จของเขาไป โดยที่ไม่ได้นึกถึงสิ่งที่เขาผ่านมา ความพยายามของเขา หรือเขาต้องล้มเหลวกี่ครั้งกว่าจะประสบความสำเร็จ
24. ลองตัวเลือกน้อย ซื้อตัวเลือกเยอะ
หากต้องเลือกซื้อของสักชิ้น ยี่ห้อแรกมีให้เลือก 6 แบบ ยี่ห้อที่สองมีให้เลือก 20 แบบ คนส่วนใหญ่จะเลือกเข้าไปลองยี่ห้อแรก เพราะเราไม่สามารถรับรู้อะไรได้เกิน 3-4 เรื่องในเวลาเดียวกัน แต่คนส่วนใหญ่กลับเลือกซื้อยี่ห้อที่สอง เพราะยังไงมนุษย์ก็ยังชอบความหลากหลาย ชอบที่จะมีตัวเลือกเยอะ แม้จะเกิดความขัดแย้งหลังจากเลือกเสร็จก็ตาม
25. อยากเป็นเพื่อนด้วยต้องถาม
ทางจิตวิทยาบอกว่าเราสามารถซื้อใจคนได้ด้วยการถามว่าเขาต้องการอะไรไหม ช่วยหยิบของให้ไหม อยากกินน้ำอะไรหรือเปล่า ไม่ใช่การถามถึงความต้องการที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่การช่วยหรือถามความต้องการเล็กๆน้อยๆทำให้เราสามารถซื้อใจคนคนนั้นได้
26. เข้าถึงยาก
การเป็นคนเข้าถึงยากไม่ได้เป็นข้อเสียเสมอไป เมื่อเริ่มการพูดคุยกันโดยประมาณ คู่สนทนาของคุณอาจจะรู้สึกว่าเดาความคิดของคุณไม่ออก ไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร รู้สึกอะไร บางทีมันก็กลายเป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหาได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการเป็นคนที่เข้าถึงยากไม่ใช่เรื่องแย่
27. ทุกการกระทำมีเหตุผลเสมอ
นักวิทยาศาสตร์เผยว่ากว่า 60-80% ของการกระทำเราใน 1 วันเป็นการกระทำที่ผ่านการคิดมาแล้ว ทำอย่างวางแผนไว้แล้ว เป็นความตั้งใจของจิตใต้สำนึกที่คิดจะทำ โดยที่เหลือจะเป็นกการกระทำที่เกิดจากพฤติกรรมที่ทำบ่อย ทำซ้ำ จนเกิดความเคยชิน และทำไปอัตโนมัติโดยไม่ต้องคิด
28. เป็นคนแรกหรือคนสุดท้าย
เพราะคนเรามักจะจำสิ่งแรก และสิ่งสุดท้ายที่พบเห็นได้เสมอ เคล็ดลับในการส่งตารางงานเตือนให้คนที่ได้รับจำได้ก็คือการส่งในตอนเช้าเป็นคนแรก หรือส่งก่อนเลิกงานเป็นคนสุดท้ายเพื่อให้เขาจำได้ นอกจากนี้ยังมีทริคลับในการนัดเวลาให้ทุกคนมาตรงเวลาก็คือนัดด้วยเวลาแปลกๆ เช่น 9:28 11:33 หรือ 15:56 เป็นต้น
29. กลัวคนหน้าตาดี
สังคมเรายังคงหนีไม่พ้นในเรื่องการบูชาคนหน้าตาดี แต่หนึ่งในนั้นก็มีสิ่งที่เรียกว่า “การกลัวคนหน้าตาดี” ก็คือไม่กล้าอยู่ใกล้ ไม่กล้านั่งข้างๆ ไม่กล้าไปยืนคุยด้วย เพราะกลัวจะโดนเปรียบเทียบ ซึ่งคนพวกนี้จะเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง และกลัวการโดนวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งความเป็นจริงเราไม่มีสิทธิ์ไปเทียบว่าใครสวยหรือหล่อกว่าใคร และเราเองก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเทียบกับใครด้วยเช่นกัน เราทุกคนมีดีในแบบของตัวเองอยู่แล้ว มันเปรียบเทียบกันไม่ได้ เราไม่ได้ดีเหมือนกัน แต่เราดีที่เราต่างกัน
30. เขาไม่บอก แต่เท้าเขาบอก
คุณอาจจะไม่เคยสังเกตเห็น เมื่อคุณไปสะกิดคุยกับใครสักคนขณะที่เขากำลังเดินอยู่ แม้เขาจะไม่ได้พูดออกมาหรือสีหน้าเขาจะไม่ได้แสดงออกว่าเขาอยากคุยกับเราหรือไม่ แต่เท้าเขาจะบอกเราเอง ถ้าเขาหันมาทั้งตัวและเท้าของเขาหันมาทางคุณ แปลว่าเขาโอเคที่จะคุยกับคุณ ถ้าเขาหันมาแต่ตัวหรือหน้า แปลว่าเขาไม่ว่างหรือไม่สะดวกคุยตอนนี้ ถ้าเขาหันเท้ามาหาคุณแค่ข้างเดียวหมายความว่าเขาอยากจะรีบไปจากคุณให้เร็วที่สุดเลย
31. จับปลาสองมือไม่ได้
วิทยาศาสตร์บอกว่าคนเราไม่สามารถทำอะไรที่ต้องใช้สมองพร้อมกันสองอย่างได้ เพราะจะมีอย่างใดอย่างหนึ่งล้มเหลว หรือไม่ก็จะล้มเหลวทั้งสองอย่าง ยกตัวอย่างเช่น คุยโทรศัพท์ตอนอ่านหนังสือ ร้องเพลงอังกฤษตอนเขียนภาษาไทย เป็นต้น แต่การทำอะไรพร้อมกันสองอย่างก็มีข้อยกเว้น เราจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่เราทำเป็นประจำ เช่น ดูข่าวในโทรทัศน์ตอนถูบ้าน หรือคุยโทรศัพท์ตอนปั่นจักรยาน เป็นต้น
32. เลียนแบบ
หากเราอยากทำให้ใครสักคนรู้สึกดีกับเรา เห็นด้วยกับเรา หรือประทับใจเราในตอนคุยกัน ให้ลองสังเกตพฤติกรรมท่าทางของเขา รอประมาณ 1 นาทีแล้วทำแบบเดียวกับเขา เช่น กอดอก เกาหัว เอามือไขว้หลัง หรือเอามือแตะริมฝีปาก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาประทับใจและเห็นด้วยกับเรา
บทสรุป
การที่เราดูออกว่าคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเราคิดอะไร ทำแบบนี้เพราะอะไร หรืออ่านความลับในใจเขาได้จากการสังเกตพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆ ดูเป็นการใช้ชีวิตแบบได้สูตรโกงเหมือนกัน เหมือนกับเรารู้แผนรบในหัวเขา และเราสามารถตั้งรับ และโจมตีกลับได้ถูก เพราะฉะนั้นทริคพวกนี้เป็นประโยชน์มากในการดำเนินชีวิตของคุณ ลองดูว่าคุณใช้มันได้ผลแค่ไหน
32 Great Psychological Tips to Read People’s Mind
บทความแนะนำ : Why we love, why we cheat – ทำไมเราถึงรัก และ ทำไมเราถึงต้องหลอกลวง