4 วิธีการเลี้ยงลูกแบบสุดโต่ง ที่ทำให้ลูกๆ ของพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ได้รับการยืนยันวิธีการมาเรียบร้อยแล้วจากผู้เชี่ยวชาญ ในบทความนี้จะนำเสนอแนวทาง 4 วิธีการเลี้ยงลูกแบบสุดโต่ง ที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการสรุปจากผู้ปกครอง 70 คนที่เลี้ยงดูลูกๆของพวกเขาให้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ให้พวกเราได้ลองเอาไปปฏิบัติกัน
หากคุณมองในมุมธุรกิจในอุสาหกรรมต่างๆ ผู้ประกอบการในโลดแล่นทำธุรกิจอยู่นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ก่อตั้งธุรกิจเพื่อแสวงหาผลกำไรที่น่าพึงพอใจเพียงเท่านั้น ผู้ประกอบการยังสามารถเป็นชื่อเรียกให้กับใครก็ตามที่คิดไอเดียขึ้นมาได้แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นของจริง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการเปลี่ยนไอเดียที่มีเพียงนามธรรมให้กลายเป็นรูปธรรมที่ตัวเองต้องการโดยสมบูรณ์ได้ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าพวกเขามีความหลงใหลในมันมากพอที่จะทำ
“อาจกล่าวได้ว่าครอบครัวก็คือผู้ประกอบการแบบหนึ่ง”
หากการเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นสิ่งจับต้องได้ด้วยความหลงใหลและแรงบันดาลใจอันแรงกล้า การมีลูกสักคนแล้วเลี้ยงเขาให้ได้ดีก็คงเป็นการลงทุนที่น่าหลงใหลเช่นกัน ต่างกันตรงที่พ่อแม่ไม่เคยหวังกำไรจากการลงทุนนั้น กำไรของพวกเขาก็คือการได้เห็นลูกของพวกเขาประสบความสำเร็จและมีความสุขในแบบที่พวกเขาต้องการ
Margot Machol Bisnow นักเขียน แม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงดูลูก และผู้เขียนหนังสือ Raising an Entrepreneur: How to Help Your Children Achieve Their Dreams เล่าถึงการรับบทบาทแม่ที่มีลูกชายผู้เป็นนักธุรกิจทั้ง 2 คน ว่า
บทเรียนสำคัญที่สุดคือ การสอนเด็กๆให้กล้าพอที่จะลองสิ่งใหม่ๆ แต่ประเด็นอยู่ที่คุณจะทำอย่างไร?
จากการพูดคุยกับพ่อแม่กว่า 70 คน ที่เลี้ยงดูลูกของพวกเขาให้เติบโตกลายเป็นมาผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง พบว่าพวกเขาสอนให้ลูกๆกล้าหาญและมั่นใจด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. พวกเขาสอนลูกๆ ให้อยากรู้อยากเห็นเสมอและไม่เคยกลัว
บางครั้งนี่หมายถึงการปล่อยให้เด็กได้มีการฝ่าฝืนกฎบ้าง Tania Yuki เป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Shareablee บริษัทที่วิเคราะห์ผลกระทบของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของธุรกิจ อธิบายว่าการพัฒนาความกล้าหาญและความเต็มใจที่จะทดลองโดยไม่ลังเลอาจเกิดขึ้นตอนคุณอายุ 4 ขวบ ขณะที่กำลังเดินซื้อของอยู่กับคุณพ่อในร้านขายของที่ระลึกสุดหรู แม้จะมีป้าย “ห้ามแตะต้อง” ติดอยู่ที่สินค้าทุกชิ้น แต่เด็ก 4 ขวบคนนั้นกลับกล้าจับมันได้อย่างไม่เกรงกลัว
“เธอแค่อยากรู้อยากเห็น ถ้าเธอทำอะไรพัง ฉันจะชดใช้!”
เด็ก 4 ขวบคนนั้นคือ Tania เอง ที่จับของที่ระลึกราคาแพงไปทั่ว ทันทีที่พนักงานขายเห็น เขาเข้ามาคว้าบางอย่างออกไปจากมือของเธอทันที ในขณะที่ Tania คิดว่าเธอกำลังจะมีปัญหา พ่อของเธอก้าวเข้ามาและบอกว่าหากความอยากรู้อยากเห็นของเธอทำให้อะไรพัง เขาพร้อมชดใช้มัน ในตอนนั้นเองเป็นตอนที่คุณพ่อได้แสดงถึงความเชื่อใจที่มีให้กับเด็ก 4 ขวบคนนั้น และนี่เป็นการสร้างความกล้าหาญอย่างมากให้กับเด็กคนนั้น ครอบครัวทำให้เธอรู้สึกว่าไม่เคยมีสิ่งใดกีดกันสิ่งที่อยากรู้ได้
2. พวกเขาให้อิสระกับลูกตั้งแต่อายุยังน้อย
พ่อแม่ทั้ง 70 คนเห็นด้วยกับการให้เด็กๆ ได้รับความรับผิดชอบหรือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี พวกเขาจะมีความมั่นใจและรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น Michael Skolnik เป็นหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง The Soze Agency ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างแคมเปญให้กับองค์กรต่างๆ เขาเล่าว่าตัวเขาเองได้ให้ความสำคัญกับการแสดงละครตั้งแต่อายุ 14 ปี และเขียนจดหมายถึงผู้ผลิตละครบรอดเวย์ 50 รายเพื่อขอฝึกงาน และเขาได้รับจดหมายตอบรับจาก Blue Man Group ซึ่งตั้งอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ในที่สุด
“การที่พวกเขาไว้วางใจในตัวฉัน ทำให้ฉันโตเร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก”
เนื่องจากพ่อแม่ของเขาทำงานเต็มเวลาและไม่สามารถขับรถรับส่งเขาจากบ้านในเวสต์เชสเตอร์เคาน์ตีไปนิวยอร์คได้ทุกวัน แต่โชคดีที่พวกเขามีเพื่อนที่มีอพาร์ตเมนต์ว่างอยู่ในเมืองนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจให้ Michael ไปอาศัยอยู่ในคนเดียวในฤดูร้อนปีนั้น สำหรับ Michael นี่ไม่ใช่การทิ้งแต่เป็นการมอบอิสระให้กับเขาด้วยความเชื่อใจ เขากล่าวว่าเขาไม่รู้ว่าอิสระและความเป็นตัวของตัวเองในวัยหนุ่มสาวจะใช้ได้กับทุกคนหรือเปล่า แต่สำหรับเขามันได้ผล มันทำให้เขามีความคิดที่โตกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก และแน่นอนเขามีทักษะการเอาตัวรอดที่มากกว่าคนอายุเดียวกัน
3. พวกเขาไม่จำกัดความสนใจของลูก
อาจฟังดูไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะวางใจให้กับการกระทำบางอย่างที่เราไม่เข้าใจและสร้างผลลัพธ์ที่เรามองไม่เห็น แต่พ่อแม่เหล่านี้ต่างไว้วางใจให้ลูกๆ ของพวกเขาตัดสินใจว่าจะใช้เวลาของพวกเขาไปกับอะไร Eric Ryan เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Method Products ซึ่งเป็นบริษัทมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ที่ผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเล่าว่า เขาไม่ใช่เด็กที่เรียนดีเลยสักนิด แต่เขาพบว่าเขารักการแล่นเรือใบมากและเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อทำมันให้ได้ดี
“เขาเลือกความหลงใหลที่พ่อแม่ของเขาอาจไม่ได้เลือกให้เขา”
Eric ลงแข่งขันแล่นเรือใบตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จนถึงระดับมหาวิทยาลัย และแน่นอนว่าพ่อของเขาคือคนที่คอยสนับสนุนและให้กำลังใจเขาเสมอในการแข่งเรือ แม้ว่าพ่อของเขาจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการแล่นเรือใบ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการอีกหลายคนที่มักจะเลือกความหลงใหลของตัวเอง ซึ่งเป็นความหลงใหลที่พ่อแม่ของพวกเขาอาจไม่ได้เลือกให้
4. พวกเขาแบ่งปันเรื่องราวการต่อสู้ของตัวเอง
หลายคนอาจคิดว่าผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมักทำอะไรง่ายๆ เหมือนเด็ก แต่ความจริงแล้วที่ผู้คนประสบความสำเร็จอาจเป็นเพราะพวกเขาเรียนรู้ที่จะจัดการกับความล้มเหลว Paige Mycoskie เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกาผ่านแบรนด์เสื้อผ้า Aviator Nation Pam แม่ของเธอเล่าว่าความยืดหยุ่นในการทำงานให้ประสบความสำเร็จของ Paige มาจากการที่แม่ของเธอทำเพียงแค่เฝ้าดูเธอต่อสู้ดิ้นรนด้วยวิธีการของเธอเอง
“ไม่จำเป็นต้องซ่อนเร้นความลำบากจากลูก”
แม่ของ Paige พบว่าเธอมีคอเลสเตอรอลสูง และต้องเปลี่ยนอาหาร เธอจึงอยากเขียนหนังสือที่มีสูตรอาหารสำหรับการทำอาหารที่มีไขมันน้อย แต่สิ่งที่แย่ก็คือเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเขียนหนังสือหรืออุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะซ่อนความลำบากไว้ข้างหลัง โดยแบกมันไว้เพียงลำพังโดยไม่ให้ลูกของพวกเขาได้รับรู้ เพราะไม่อยากทำให้ลูกผิดหวังหรือเสียใจ แต่แม่ของ Paige เลือกที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของเธอกับลูกๆของเธอทุกคน และสอนให้ทุกคนเรียนรู้ว่าต้องรับมือกับปัญหาด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง ซึ่งปัญหาต่างๆที่เข้ามานั้นสามารถแก้ไขได้แบบตัวต่อตัว
บทสรุป
ในบทบาทพ่อและแม่มันไม่ใช่เพียงสถานภาพที่ได้มาหลังจากการที่คุณมีลูกสักคนลืมตาดูโลกขึ้นมา แต่บทบาทนี้เปรียบเสมือนผู้ประกอบการที่กำลังร่างไอเดียให้เป็นรูปเป็นร่าง คุณอาจจะวาดฝันภาพในหัวเอาไว้ว่าหากมีลูกสักคน ก็อยากให้เขาโตไปเป็นเด็กดี มีความสุข และเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ ในฐานะผู้ประกอบการนั้นคุณมีแรงบันดาลใจและแรงจูงใจอย่างสูงที่จะทำให้ภาพที่คุณวาดฝันเหล่านั้นกลายเป็นความจริง โดยที่กำไรที่วัดได้คือความสุขและความสำเร็จของลูก
การจะไปให้ถึงจุดที่คุณวาดฝันไว้นั้นไม่ใช่แค่เพียงนั่งภาวนาและลุ้นการเติบโตของลูกโดยที่คุณไม่ได้ทำอะไรหรือทำมากเกินไปจนเผลอทำให้เส้นทางของลูกคุณนั้นบิดเบี้ยว โปรดมอบความไว้วางใจให้กับลูกของคุณ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้โดยไม่ปิดกั้น ให้อิสระกับพวกเขาโดยเฝ้ามองพวกเขาอยู่ข้างๆ ไม่บังคับให้พวกเขาสนใจในสิ่งที่เดียวกับคุณ แต่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เลือกความสนใจของพวกเขาด้วยตัวเอง และแบ่งปันประสบการณ์ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวที่คุณเคยได้รับมาโดยไม่ต้องอายหรือกลัวลูกของคุณจะผิดหวังในตัวคุณ เพราะคนเราจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเรียนรู้ความล้มเหลวมาแล้ว
“กำไรจากการลงทุนของพ่อแม่ ไม่ใช่ความสุขหรือความสำเร็จของตัวเอง แต่เป็นความสุขและความสำเร็จในแบบที่ลูกเลือกเอง”
Reference: