คุณต้องได้เงินมากแค่ไหน คุณถึงจะยอมเสียสละ Work-Life Balance ของคุณได้ คำถามนี้ถือเป็นคำถามที่สำคัญจริงๆ ว่าเอาเข้าจริงแล้ว คุณจะยอมแลกไหม? คุ้มหรือไม่?
คุณได้พูดคุยกับครอบครัว เพื่อน และคนรักเกี่ยวกับ Work Life Balance หรือความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานบ่อยแค่ไหน? การนินทา ระบาย หรือบ่นถึงความไม่ได้ดั่งใจในที่ทำงานกลายเป็นประเด็นยอดนิยมในวันที่นัดรวมตัวกันของเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยหรือมัธยม เพราะเป็นเรื่องยากที่จะไว้ใจคนที่ทำงานถึงขนาดระบายความอัดอั้นตันใจที่ได้จากหัวหน้าให้พวกเขาฟังได้ สนิทแค่ไหนก็ไม่รู้ได้เลยว่าเมื่อไรที่การแทงข้างหลังจะเป็นประโยชน์ต่อเขา และเขาจะเลือกเราแทนผลประโยชน์เหล่านั้นหรือเปล่า?
บ่อยครั้งเหลือเกินที่ความต้องการของเราคือ การมีเวลาร่วมกับตัวเอง ครอบครัว เพื่อน หรือ คนรักเพื่อให้ได้รู้สึกถึงการได้ใช้ชีวิตจริงๆ ขึ้นมาสักนิด แต่เมื่ออยู่ในโหมดของคนทำงานเพื่อให้มีชีวิตรอดไปในแต่ละวัน คุณกลับรู้สึกว่าการเลือกช่วงเวลาในการใช้ชีวิตเหล่านั้นเป็นไปได้ยากเหลือเกิน พนักงานส่วนใหญ่มักเลือกงาน และเลือกการนั่งกุมขมับเสียดายช่วงเวลาสำคัญกับคนสำคัญที่คุณจะไม่มีวันได้คืนกลับมา แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทิ้งงานหรือโอกาสในความก้าวหน้าไป เพื่อให้เวลากับคนที่สำคัญเหล่านั้น
“พนักงาน 75% วางแผนจะหางานใหม่ เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน”
ดูเหมือนการปลุกสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานจะเกิดขึ้นอีกครั้งในพนักงานหรือแรงงานอเมริกัน จากการสำรวจผู้ใช้ประจำปี 2023 ของ The Muse ซึ่งเผยแพร่ในเดือนเมษายน เราพบว่ากว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามกำลังวางแผนหางานใหม่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานก็กลายเป็นคุณสมบัติงานที่สำคัญที่สุดที่พนักงานกว่า 70% กำลังมองหาในปีนี้เลย
“พนักงานยุคนี้กำหนดสมดุลชีวิตและการทำงานอย่างไร?”
เมื่อการให้ความสำคัญในการใช้ชีวิตมีมากขึ้น จึงเกิดเป็นข้อสงสัยว่าแล้วการกำหนดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานในปัจจุบันเป็นอย่างไร? แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างไร? ความสามารถในการรักษาสมดุลไม่ใช่แค่เพียงแบ่งเวลาไว้ซักผ้า รีดผ้า หรือเก็บข้าวของในห้อง แต่หมายถึงการมีเวลาไปงานโรงเรียนของลูก ทานอาหารเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันที่ร้านอาหารนอกบ้าน หรือการอยู่บ้านพักผ่อนได้โดยที่ไม่พะวงรับโทรศัพท์เรื่องงานเลยสักนิด งานกลายเป็นสิ่งยั่วยุในวันหยุดที่พยายามขัดขว้างการพักผ่อนทางความคิดของคุณ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายครั้งที่แม้ตาของเราจะมองไปที่โทรทัศน์ขณะนอนอยู่บนโซฟาในวันอาทิตย์ แต่สมองกลับคิดถึงงานที่ต้องเจอในวันจันทร์เสียอย่างนั้น
“Work-Life Balance อีกนัยนึง คือ ไม่เต็มใจจะทำงานหนัก”
Kathryn Minshew ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ The Muse กล่าวว่าเธอได้พูดคุยกับ CEO บางคนที่ตีความการรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานไว้ว่ามันคือ การไม่เต็มใจที่จะทำงานหนัก แม้ว่านั่นอาจจะเป็นความจริงสำหรับบางคน เพราะการทำงานหนักจนเกินตัวมักทำลายความสมดุลและขอบเขตการทำงานที่เราวางไว้เสมอ แต่นอกเหนือจากแนวคิดนี้ ยังมีอีกหลายคนที่จำกัดความเกี่ยวกับความสมดุลนี้ไว้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอิสระหรือความยืดหยุ่นในการพูดถึงเวลาที่ใช้งานและเวลาที่ใช้ชีวิต
“ยอมรับค่าตอบแทนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ได้สมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานคืนมา”
The Muse ได้ทำการสำรวจผู้ใช้อีกครั้งเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับความคิดในเรื่องความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานอีกครั้ง จากการสำรวจคนงานในสหรัฐอเมริกา 1,600 คน พบว่าความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมีความสำคัญมากถึง 83% จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด พวกเขายินดีที่จะรับค่าตอบแทนที่ต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยเพื่อให้ได้สมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานคืนมา นอกจากนี้ยังพบว่าการทำงานของพวกเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยวัดได้จากประสิทธิภาพในการทำงานและประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากการทำงาน
“เลือกเป้าหมายชีวิต มากกว่าเป้าหมายในอาชีพการงาน”
น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขายอมที่จะทำงานหนักกว่าเพื่อนร่วมงานและเสียสละส่วนตัวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในอาชีพการงาน ซึ่งคุณสมบัตินี้จำเป็นต่อการก้าวหน้าในด้านอาชีพหรือเป้าหมายในการทำงานที่ตั้งเอาไว้อย่างมาก แต่หากเรามองไปที่ Gen Z และ Millennials จะพบว่าพวกเขาเห็นด้วยกับเรื่องนี้น้อยกว่าเล็กน้อย พวกเขาให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวแทนที่จะจดจ่อไปที่เป้าหมายในอาชีพการงานเพียงอย่างเดียว
บทสรุป
คำจำกัดความของ Work Life balance หรือ ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดคือความยืดหยุ่นและอิสระในการเลือกความต้องการส่วนบุคคลในระหว่างวันทำงานปกติหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ หรืออาจเรียกได้ว่าระยะเวลาที่ใช้ในที่ทำงานจะไม่รบกวนระยะเวลาที่ใช้ไปกับชีวิตส่วนตัว
การตั้งนิยามเกี่ยวกับแนวทางการกำหนดความดุลระหว่างชีวิตและการทำงานให้ชัดเจนทำให้คุณสร้างขอบเขตให้ชัดขึ้นเกี่ยวกับขีดเส้นให้งานกินพื้นที่ไปเท่าไรของชีวิตคุณ เพราะสัดส่วนของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามการให้ความสำคัญ คนโสดอาจจะให้ความสำคัญกับงานได้มากกว่าคนมีคู่ เพราะไม่ต้องเผื่อเวลาไว้ให้กับคนรัก หรืออาจจะแบ่งสัดส่วนไว้ให้งานน้อยมากเพราะต้องการมีเวลาให้กับตัวเองในการทำงานอดิเรกต่างๆก็เป็นไปได้
“ความสมดุลขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่น ความเป็นอิสระ และความสามารถในการรองรับชีวิตส่วนตัวโดยไม่ต้องเสียสละเป้าหมายในอาชีพ”
ถึงตรงนี้ อยากจะถามคุณอีกครั้งว่า คุณต้องได้เงินมากแค่ไหน คุณถึงจะยอมเสียสละ Work-Life Balance ของคุณได้?
Reference:
Most Workers Say No Amount of Money Would Make Them Sacrifice Work-Life Balance
บทความแนะนำ:
Gen Z กำลังมองว่า มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน อาจจะไม่ตอบโจทย์พวกเขา
วิธีค้นหาความหมายในงานของคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ชอบหรือรักในงานนี้ก็ตาม