กฎ 20 ชั่วโมง คือ หลักการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ไม่ว่าเราอยากเก่งอะไร อยากทำอะไร หรือไม่ว่าเรื่องนั้นจะยากแค่ไหน เราก็สามารถทำได้ ในเวลาที่สั้นลงกว่าเดิม 100 เท่า
เรื่องนี้ ถือเป็นการหักล้าง หลักการ กฎ 10,000 ชั่วโมง ที่เราเคยได้ยิน หรือ ได้ฟังมาเลยว่า หากเราจะเก่งเรื่องใดเรื่องนึง เราก็จะต้องเรียนรู้และฝึกฝนเรื่องนั้นอย่างน้อย 10,000 ชั่วโมง ซึ่งในกรณีนี้หากเอามาเทียบเป็นระยะเวลา เช่น ถ้าเราต้องฝึกทักษะอะไรสักหนึ่งอย่าง วันละ 4 ชั่วโมง ทุกวัน ในหนึ่งปี เราก็จะใช้เวลาไป 1,460 ชั่วโมง และ เราจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย เกือบๆ 7 ปีเลยในการที่จะเก่งในเรื่องนั้นๆ
“กว่าจะเก่งเรื่องใดเรื่องนึงได้ ต้องฝึกฝนให้ได้เกิน 10,000 ชั่วโมง…เราทนไหวไหม?”
เป็นใคร ก็ต้อมีท้อ อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากจะพัฒนาตนเอง เจอหลักการแบบ กฎ 10,000 ชั่วโมง เข้าไปก็ถอดใจกันไปหลายคน แต่จะบอกว่าเราจะไม่พัฒนาตนเองก็ไม่ได้ ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่เราต้องเข้าใจ และ ยอมรับก็คือ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จำเป็นต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ มีความต้องการเรียนรู้ ยกระดับ และเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ เพราะ ความไม่แน่นอน มันมีอยู่จริง
เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ ด้วย กฎ 20 ชั่วโมง
Josh Kaufman เจ้าของหนังสือ The first 20 hours: How to Learn Anything…Fast! และ The Personal MBA: Master the Art of Business ผู้คิดค้นในเรื่องนี้ ได้เล่าเรื่องราวความอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆของเขาไว้ใน TEDxCSU อย่างน่าสนใจ
เรื่องของเขามันเริ่มต้นขึ้น เมื่อตอนที่เขามีลูก เขาและภรรยาทำงานที่บ้าน และเลี้ยงดูลูกไปด้วย แน่นอนว่ามันคือความสุขที่เขาได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างการเลี้ยงลูกครั้งแรกในชีวิต แต่ในความสุขนั้นเขาค้นพบว่า เขาไม่มีเวลาว่างเพื่อทำอย่างอื่นอีกเลย
“เพราะความอยากรู้ความเห็น เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์”
ใครว่าความอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องที่ไม่ดี? เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ดี เราก็จะเริ่มอยากที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่นในกรณีของ Josh ที่เริ่มต้นจากความสงสัยเล็กๆ ที่ว่า ทำไมการเลี้ยงลูกถึงทำให้เขาไม่มีเวลาว่างเลย?
ถึงแม้คนรอบข้างจะเอาแต่พูดว่า “มันก็เป็นแบบนี้แหละ” หรือ “มันเป็นเรื่องธรรมดา” หรือ “ถือเรื่องปกติของการเลี้ยงลูก” ซึ่ง ณ ตอนนั้นหาก Josh หรือ แม้กระทั่งเราเอง ก็อาจจะเผลอคิดแบบนั้นไปจริงๆ เพราะสถานการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นจากคนอื่นๆ มันอาจจะพาเราไป ทำให้เราเชื่อแบบนั้นจริงๆ โดยไม่อยากคิดที่จะหาคำตอบ
แต่ถ้าเรามีความอยากรู้อยากเห็นมาก มันจะทำให้เราต้องหา หาหนทางว่าทำไม? หรือ มองหาวิธีแก้? หรือ หาวิธีเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งบางทีมันอาจจะแย้งคำพูดหรือความเชื่อเดิมๆ เหล่านั้นได้
“เริ่มจากความอยากรู้อยากเห็น จมอยู่กับมัน แล้วเราจะพบบางสิ่งที่ดีจนคาดไม่ถึง”
Josh หมกหมุ่นอยู่กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ในโจทย์ที่แตกต่างไปจากเดิม เขาเริ่มอยากรู้ว่าคนเราจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำสิ่งใหม่ๆได้จนเชี่ยวชาญต้องใช้เวลาเท่าไร? แน่นอนว่าเขาเข้าห้องสมุดเพื่อหาหนังสือ อ่านวิจัย หรือข้อมูลที่ช่วยตอบคำถามเขาได้ แต่ทุกอย่างล้วนให้คำตอบเดียวกันนั้นก็คือ…
“10,000 ชั่วโมง หรือเท่ากับ การทำงานเต็มเวลาตลอด 5 ปี”
ดูจากข้อมูลแล้ว ดูไม่ค่อยจะยุติธรรมสักเท่าไร จากงานวิจัยและหนังสือส่วนใหญ่บอกว่าการที่เราจะทำเรื่องใหม่ๆได้โดดเด่น ทำได้ดี หรือเป็นจ่าฝูงของเรื่องตรงนั้นได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10,000 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงด้วยสถานการณ์ของ Josh เขาไม่มีเวลามากขนาดนั้นเพื่อมาเรียนรู้ เพราะเขาต้องเลี้ยงลูก และ ต้องทำงาน ไปด้วย แล้วเขาจะสามารถเอาเวลาเยอะขนาดนั้นมาจากที่ไหน?
“เรามักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเสมอ เมื่อเราได้ใช้มันทำในสิ่งที่เราชอบ”
หลังจากที่ Josh หมกหมุ่นอยู่กับเรื่องของ กฎ 10,000 ชั่วโมง และพยายามหาทางออก หาวิธีการที่จะไม่ใช้เวลาเยอะขนาดนั้น เขาได้ค้นพบว่าคนเรามักไม่สนใจเรื่องเวลา เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เราต้องการทำ ยกตัวอย่างเช่น เด็กนักเรียน มักจดจ่อกับเข็มนาฬิกาเวลาเรียน เพราะพวกเขาไม่ค่อยชอบมันเท่าไร แต่ในเวลาที่ไปเล่นกับเพื่อนที่สนามเด็กเล่น พวกเขารู้สึกเหมือนเพิ่งเล่นสไลด์เดอร์ไปแค่สองสามรอบเท่านั้น ฟ้าก็มึดแล้ว นี่ไงล่ะคือคำตอบ
“10,000 ชั่วโมงมันไม่จริง”
จากการศึกษาของ Josh เขาพบว่าเมื่อเราเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่เราสนใจ เราจะทำมันได้ดีและใช้เวลากับมันนานโดยที่เราไม่รู้สึกทรมานเลยสักนิด เราจะหมกหมุ่นอยู่กับมันด้วยความเต็มใจ แต่ในเรื่องที่เราโดนบังคับว่าต้องทำมันให้ได้ดี แน่นอนว่าในช่วงแรกเราจะใช้เวลาอยู่กับมันนานมาก เพราะเรากำลัง “เห่อ” แต่หลังจากค้นพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เวลาที่เราใช้ร่วมกับมันก็จะน้อยลงไป จนถึงขั้นล้มเลิกไปในที่สุด
คงเป็นโชคดีของเราที่ Josh มีเวลาไม่มากพอที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ใน 10,000 ชั่วโมง ทำให้เขาได้ศึกษาการเรียนรู้สิ่งใหม่ภายใน 20 ชั่วโมง หรือ 45 นาทีต่อวันภายใน 1 เดือน ซึ่งแน่นอนว่าเขาทำมันสำเร็จมาแล้ว กลายเป็น กฎ 20 ชั่วโมง ซึ่งกระบวนการนี้ ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. ทุบสิ่งใหม่ๆ ที่เราอยากเรียนรู้ให้แตกละเอียด แล้วพิจารณาชิ้นส่วนของมันให้ดี
เมื่อเราเริ่มสนใจในบางเรื่อง หรือ อยากที่จะทำบางอย่างที่สนใจให้ได้ดี ให้ลองแบ่งมันออกเป็นส่วนประกอบย่อยๆ เป็นขั้นตอน แล้วเริ่มเรียนรู้ไปทีละส่วนย่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราอยากจะอบขนมปัง เราก็ต้องเริ่มจากการทำแป้งโด ปล่อยให้แป้งขยายตัว นวดแป้ง ปั้นมันให้เป็นก้อน และนำมันเข้าเตาอบ เป็นต้น
หรือ หากเป็นเรื่องทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น เรื่องภาษาอังกฤษ เราก็ต้องแบ่งการเรียนรู้เรื่องภาษาอังกฤษเป็นเรื่องย่อยๆ เช่น อยากเก่งเรื่องแกรมม่า ก็แบ่งเป็นหัวข้อเล็กๆ เรียนรู้ไปทีละนิด ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนครบตามเป้าหมายนั้นเอง
2. เรียนรู้มากพอที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดได้
Josh บอกว่า ความเชื่อที่ว่า ยิ่งเราอ่านหนังสือมากเท่าไร ยิ่งทำให้เรารู้มากขึ้นเท่านั้น และ จะทำให้ลดเปอร์เซ็นต์การเกิดข้อผิดพลาด แต่เอาเข้าจริง เปล่าเลย เพราะมันย่ิงทำให้ใช้เวลามากกว่าเดิมโดยที่เขาพบว่า ก็ยังคงมีข้อผิดพลาดอยู่ดี
“เมื่อเราพลาด ก็แค่ทำใหม่ ให้มันแตกต่างไปจากเดิมไปสักหน่อย”
เพราะฉะนั้นในขั้นตอนที่ 2 นี้ เขาให้คำแนะนำว่า หากอยากจะเก่งเรื่องใดก็ตาม ก็ต้องกำหนดขอบเขตของการหาข้อมูล เช่น เหมือนตัวอย่างข้างต้น หากอยากจะอบขนมปัง จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำขนมแค่ 5 เล่ม ดูคลิปวิดีโอสอนทำแค่ 3 คลิป แล้วลงมือทำเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดพลาด ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณผิดพลาด เพราะอย่างน้อยในที่สุดคุณก็ได้รู้ว่าวิธีนี้ทำให้ขนมปังออกมาเป็นอย่างไร
หรือ เรื่องอยากเก่งแกรมม่า ก็หาหนังสือแกรมม่าที่เปิดอ่านดูไวๆ แล้วเข้าใจง่ายมาสัก 3-4 เล่ม และ ไปดูคลิปสอนแกรมม่าสัก 3-4 คลิป แล้วก็ลองเอาไปปรับใช้เลย เชื่อสิ แอดมินก็ลองวิธีนี้ ได้ผลจริง ภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องง่ายไปเลย
3. ทุบกำแพงและอุปสรรคในการเรียนรู้ของเราทิ้งไปซะ
อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ โทรศัพท์ หรือ แม้แต่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเราเอง โยนสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปให้ไกล เพราะสิ่งเหล่านี้มัน คือ อุปสรรคที่จะคอยขัดขวางไม่ให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการ
“จับคู่สิ่งที่เรารักจะทำ กับสิ่งที่เราอยากจะให้ตัวเองทำ”
Josh ยกตัวอย่าง TEDxPenn Talk ของนักพฤติกรรมศาสตร์ Katherine Milkman ที่นำเสนอเทคนิคที่เรียกว่า “การรวมสิ่งล่อใจ” มันเป็นเทคนิคที่ทำให้เราหมกหมุ่นอยู่กับสิ่งที่เราต้องการเรียนรู้ได้นาน เช่น การเปิดพอดแคสต์ที่คุณชอบฟังระหว่างอบขนมปัง หรือการช่วยเพื่อนทานกาแฟและนั่งพูดคุยกันหลังจากฝึกโยคะเสร็จ เป็นต้น
หรือ เรื่องการฝึกภาษาอังกฤษ เราก็ใช้เทคนิคนี้ได้เช่นกัน ด้วยการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการดูหนัง หรือ ฟังเพลง (พร้อมอ่านเนื้อเพลง) ก็ได้
4. ซ้อมอย่างน้อย 20 ชั่วโมง
สิ่งที่อยากที่สุดในการฝึกซ้อมคือ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะต้องพบความล้มเหลวในครั้งแรกที่เริ่มต้น เหมือนกับตอนที่เราหัดเดินก้าวแรกแล้วล้ม เราอาจจะเผลอคิดไปว่าเราไม่มีความสามารถ และเจ็บปวดกับความคิดเหล่านั้นจนเลิกทำมัน
แต่ในขั้นตอนที่ 4 นี้ เราต้องเริ่มทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม หลังจากที่เราล้มเหลว เราก็แค่ยอมรับว่าพลาด และก็ลงมือทำมันต่อไป อย่างน้อยก็สัก 20 ชั่วโมง หลังจากนั้น เราจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่เราได้รับอย่างแน่นอน
“ขั้นตอนที่ 4 เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันการลงทุนเวลา 20 ชั่วโมงของคุณ ว่าเราจะได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุดกลับไปแน่นอน”
เรื่องการฝึกภาษาอังกฤษ ก็เช่นกัน หากเรามุ่งมั่น ฝึกใช้ต่อไปให้ต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ชั่วโมง ผลลัพธ์ที่ตามมา ระดับความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษของเราจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
กฎ 20 ชั่วโมง กับอูคูเลเล่ของ Josh Kaufman
Josh ตัดสินใจเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในทางที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อน เขาได้เห็น Jake Shimabukuro เล่นอูคูเลเล่อย่างน่าทึ่งใน TED talk ในตอนนึง มันจุดประกายเขาทันทีที่เขาได้ดูมัน เขาเริ่มต้นหาอูคูเลเล่มาเป็นของตัวเอง หาคอร์ด เนื้อเพลง ศึกษาวิธีเล่นผ่านคลิปวิดีโอในอินเทอร์เน็ต และตัดสินใจให้มันเป็นสิ่งใหม่ที่เขาจะเรียนรู้ต่อจากนี้
“เราแค่รู้แค่ 4-5 คอร์ด ก็เล่นเพลงป๊อปได้ทุกเพลงแล้ว”
สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ จากการศึกษาการเล่นอูคูเลเล่ แน่นอนว่าเขาตั้งใจจะเล่นเพลงป๊อปให้ได้ และก็คิดว่า 4-5 คอร์ด ก็คงไม่ได้ยากเย็นอะไร ในการบรรยาย TEDxCSU ของเขาครั้งนี้ เขาเล่นอูคูเลเล่ด้วยเพลง Medley ที่รวมเพลงป๊อปไว้สิบกว่าเพลง และแน่นอนเขาฝึกมันเพียงแค่ 20 ชั่วโมงเท่านั้น
บทสรุป
ไม่มีอะไร ที่ยากเกินความสามารถของมนุษย์จริงๆ
ในวันนี้สิ่งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน อาจจะเป็นแค่ความอยาก ความต้องการ ความฝัน หรือ อาจจะเป็นความกลัว ถ้าหากเราไม่ลอง เราก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าเราจะสามารถทำมันได้หรือไม่?
คนเรามักกลัวความล้มเหลว กลัวความรู้สึกโง่ที่เกิดขึ้นเมื่อลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ ความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเท่าไร มันจึงเป็นอุปสรรคใหญ่ ที่หลายคนก้าวข้ามไปไม่ได้
ดังนั้นเมื่อเราเริ่มทำอะไรสักอย่าง เราแค่ยอมรับว่านี่คือครั้งแรก นี่คือความผิดพลาด แล้วหาทางใหม่ ทางใหม่ที่เราเจอ อาจจะนำพาเราไปพบผลลัพธ์ที่ทำให้เราประหลาดใจก็ได้
“อุปสรรคที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องของความโง่หรือฉลาด แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกและอารมณ์ต่างหาก”
หนังสืออื่นๆ ที่น่าสนใจ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
ATOMIC HABITS – เปลี่ยนแปลงนิสัยของเราวันละนิด ชีวิตดีกว่าเดิมหลายเท่าตัว