Brain Performance Improvement – สมองของคุณจะทำงานได้ดีขึ้น ถ้าคุณรู้ว่าจะใช้งานสมองของคุณให้ถูกต้องอย่างไร? เราจะมาหาคำตอบกันในบทความนี้
วัฒนธรรมและค่านิยมในการทำงานของสังคมไทยเรานั้นมักจะให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก ถ้าทำงานหนักจะเจริญก้าวหน้า ถ้าทำงานหนักแล้วจะกลายเป็นคนเก่ง หลายบริษัทให้การยอมรับและให้รางวัลกับพนักงานที่แสดงให้เห็นถึงการเทำงานหนักและการทำงานที่รวดเร็วในการทำงานกันมาเสมอ
พนักงานสามารถเพิ่มระดับความสำคัญในตัวเองได้ด้วยการพยายามทำตัวยุ่งๆ เข้าไว้ และเมื่อทำไปนานๆ เข้าเราก็จะเสพติดความรู้สึกสำคัญตรงนั้น จนกระทั่งเราไม่สามารถนั่งดูรายการโปรดในโทรทัศน์ถึงแม้ว่าจะเป็นในวันหยุดก็ตาม
“พวกเขาเต็มใจที่จะทำให้นานและหนักขึ้นเรื่อยๆ”
จากบทความ หนังสือ และพอดแคสต์ มากมาย มีการพูดเกี่ยวกับคนที่ประสบความสำเร็จเอาไว้ว่า พวกเขาคือกลุ่มคนที่เต็มใจจะทำงานให้หนักขึ้นและนานขึ้นกว่าคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องตื่นตอนตี 4 หรือ ทำงานถึงเที่ยงคืนก็ตาม ทั้งที่จริงๆ แล้วจากงานวิจัยเราพบว่าคนเรายิ่งนอนหลับมากเท่าไร ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งกล่าวได้ว่าในขณะที่พวกเขาทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา พวกเขาอาจเพิ่มความเจ็บปวด ความเครียด และความเมื่อยล้าให้ตัวเอง แน่นอนว่าสิ่งที่หายไปนั่นก็คือ ความสุขของพวกเขาเอง
เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่เหล่าคนทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอาจจะมองพลาดไป สมองของคุณจะทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อคุณมีช่วงเวลาในการหยุดทำงานให้มากขึ้น ต่อไปนี้ ะเป็นเทคนิคที่จะช่วยให้คุณอยู่ในโหมดที่ทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
Brain Performance Improvement – สมองของคุณจะทำงานได้ดีขึ้น ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. ให้สร้างบัฟเฟอร์ 15%
ในการผลิตเรามีการเปลี่ยนเทียบความแตกต่างระหว่างกำลังการผลิตและความสามารถในการผลิต ความจริงที่พนักงานทุกคนและบริษัททุกบริษัทต้องเข้าใจก่อนก็คือ ไม่มีบริษัทไหนที่จะทำงานที่กำลังการผลิต 100% ได้ ดังนั้น 85% จึงถือว่าเป็นกำลังการผลิตที่เหมาะสมที่สุด จึงยังคงเหลืออีก 15% ไว้เผื่อสำหรับความล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นรื่องของอุปกรณ์การทำงานผิดพลาด หรือ อื่นๆ
“สมองคุณก็ไม่ได้อยากทำงาน 100% เช่นกัน”
ไม่ใช่แค่เพียงความต้องการของบริษัทเท่านั้น แต่ร่างกายและสมองของคุณก็ต้องทำงานแค่ 85% เท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเตรียมความพร้อมของจิตใจคุณด้วย นักวิ่งผู้ชนะเลิศเหรียญทอง 9 ครั้งในการวิ่งระยะ 100 เมตร เขามักจะเป็นคนสุดท้ายในระยะ 40 เมตรแรก แต่แซงหน้าคู่แข่งรายอื่นในระยะใกล้เส้นชัยและคว้าชัยชนะไปครองได้เสมอ สิ่งที่เราเห็นได้ชัดเลยคือ นักวิ่งคนอื่นต้องออกแรงให้หนักขึ้นในตอนท้าย แต่นักวิ่งคนนี้เขาชนะได้ด้วยแรง 85% เท่าเดิมตั้งแต่ต้นจนถึงเส้นชัย
“สูตร 8 – 1.2”
วิธีการง่ายๆ ที่คุณทำได้เลยในแต่ละวันคือ จากการทำงาน 8 ชั่วโมง ให้คุณตัดออกไป 1.2 ชั่วโมง หรือตัดวันทำงานออกไป 1 วันจาก 7 วัน ต่อสัปดาห์ ลองเริ่มต้นด้วยการใช้เวลาอ่านหนังสือ พักผ่อน ทำในสิ่งที่ชอบ ระหว่างทำคุณอาจจะขัดใจ ขัดกับสัญชาตญาณ หรือ ฝืนตัวเองไปบ้างในช่วงแรก แต่วิธีนี้จะช่วยซื้อพลังสมองกลับมาให้คุณในระยะยาว
2. ให้ดูร่างกาย ไม่ใช่ดูนาฬิกา
คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความอดทนของคุณในการประชุมหรือสนทนาในเรื่องงานสักเรื่องจะสั้นลง ความรู้สึกนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คุณรำคาญใจอย่างมากเมื่อคุณหมดพลังในการพูดคุยและพลังจิตของคุณจะต่ำลงอย่างควบคุมไม่ได้ หากคุณมีอาการนี้เกิดขึ้น ให้รู้ไว้เลยว่านี่ไม่ใช่เวลาในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญหรือเข้าร่วมบทสนทนาที่จำเป็นต้องใช้เหตุผลหรือตรรกะ
“เวลาที่สมองมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือตอนเช้า”
จากการศึกษาคลื่นสมองทำให้เราพบว่าแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และสัญชาตญาณจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสมองของเราอยู่ในสภาวะที่พร้อม ดังนั้นยิ่งคุณปกป้องพื้นที่สมองมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เวลาที่สมองมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือตอนเช้า ดังนั้นการตัดสินใจเรื่องใหญ่และงานที่สำคัญควรอยู่ในตอนเช้า ส่วนงานที่ซ้ำซากจำเจหรืองานที่ทำเป็น Routine ให้นำไปไว้ในช่วงบ่าย เพราะคุณจะมีการรับรู้ต่ำ
“ปกป้องเวลาอันมีค่าของคุณเอาไว้ให้ดี”
เมื่อคุณได้รู้แล้วว่าเวลาช่วงเช้าของคุณมีค่าที่สุด ดังนั้นเมื่อคุณต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญหรือพูดคุยต่อรองอะไรที่ต้องใช้สมองอย่างมากในการพิจารณา ให้คุณนำงานเหล่านั้นมาไว้ในช่วงเช้า และหากคุณอยากเพิ่มเวลาช่วงเช้าที่มีประสิทธิภาพของคุณ ให้คุณวางแผนสิ่งที่ต้องทำสองหรือสามอย่างที่คุณต้องการทำในตอนเช้าวันถัดไปเอาไว้ก่อน หลีกเลี่ยงการเปิดดูข้อความที่ไม่จำเป็นหรือการแจ้งเตือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับแผนที่วางไว้จนกว่าคุณจะทำตามแผนทุกอย่างเสร็จสิ้น
3. พูดคุยกันภายใน 25 นาที
ใครบอกว่าการทำงานไม่ต้องการการประชุม ทีมที่ดีต้องการการประชุมเพราะเมื่อถึงเวลาที่ทุกคนได้ทำงานอิสระพวกเขาจะทำงานอยู่ในขอบเขตและการดำเนินการที่ถูกต้อง การตัดสินใจและขั้นตอนจะเดินไปอย่างถูกต้องตามแผนที่วางไว้ในตอนประชุม
“ค่าเริ่มต้นของการประชุมส่วนมากคือ = 60 นาที”
ปัญหาหลักที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบประชุมเพราะว่าเรามักจะตั้งค่าเวลาในการประชุมเอาไว้โดยอัตโนมัติ และ 60 นาที คือเวลายอดนิยมนั้น นี่คือการเสียเวลาในการทำงานของคุณอย่างน้อย 35 นาทีไปกับการรอคนมาสาย รอการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค สไลด์ที่จะนำเสนอ ติดตั้งโปรเจคเตอร์ ข้อมูลเปิดได้ไม่ หรือการตอบคำถามว่า “วาระในการประชุมครั้งนี้คืออะไร?” เป็นต้น
“เปลี่ยนเวลาประชุมของคุณให้กลายเป็น 25 นาที”
เวลาที่เหมาะสมจริงๆ คือ 25 นาที เวลานี้จะสร้างความชัดเจนในการทำสิ่งสำคัญ โฟกัสสิ่งที่ต้องทำจริงๆ และบังคับให้เราคิดเกี่ยวกับสองหรือสามอันดับแรกที่สำคัญมากพอจะหารือในที่ประชุมครั้งนี้โดยอัตโนมัติ นอกจากคุณจะต้องเปลี่ยนเวลาในการประชุมของคุณให้กลายเป็น 25 นาทีแล้ว คุณควรระบุวัตถุประสงค์ของการประชุมให้ชัดเจนเสมอเมื่อคุณส่งคำเชิญหรือตอบรับคำเชิญการเข้าร่วมประชุม และหากคุณคิดว่าการประชุมครั้งนี้ยังไม่จำเป็น หรือไม่ใช่วาระการประชุมที่คุณมีส่วนร่วมให้ประหยัดเวลาของคนอื่นด้วยการปฏิเสธอย่างสุภาพ
4. ทำให้ระบบและกระบวนการของคุณให้ง่ายขึ้น
โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้วเมื่อพบกับปัญหาพวกเขามักจะเพิ่มสิ่งต่างๆ เข้ามาไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่เพื่อทำให้ปัญหานั้นซับซ้อนขึ้นแทนที่จะลบสิ่งต่างๆ ออกไปเพื่อให้ปัญหาคลี่คลายได้ง่ายขึ้น เมื่อตารางงานในแต่ละวันหรือสัปดาห์ของคุณแน่นจนขยับไม่ได้ คุณเลือกที่จะตื่นเร็วขึ้น หรือนอนช้าลงเพื่อทำงานให้เสร็จทั้งที่คุณสามารถลดจำนวนสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันหรือสัปดาห์ลงได้
“รายการสิ่งที่ไม่ต้องทำ”
ในการทำงานคุณควรตั้งขอบเขตการทำงานของคุณไว้เลย วิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดสรรระบบการทำงานของตัวเองคือเมื่อคุณมองรายการสิ่งที่ต้องทำในหนึ่งวันหรือหนึ่งสัปดาห์ให้คุณทำรายการเพิ่มอีกหนึ่งรายการชื่อว่า รายการสิ่งที่ไม่ต้องทำ รวบรวมสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่สำคัญ หรือสามารถเลื่อนไปอีกสัปดาห์ได้เอาไว้ เพื่อทำให้ตารางงานที่แน่นเอียดของคุณว่างขึ้นสำหรับการพักผ่อน
บทสรุป
เราทุกคนถูกปลูกฝังให้เป็นคนทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก เพราะเราต่างมีความเชื่อเรื่องการทำงานหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จกันมาตั้งแต่เด็ก ครูมักจะชมเด็กขยัน พ่อมักจะชมเด็กที่ขยันทำงาน และแม่ไม่เคยเลิกบ่นเวลาที่ลูกนอนเฉยๆ โดยไม่ลุกจากเตียง
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องผิดหากเราทุ่มเทและทำงานอย่างหนักถูกที่ เวลา และเรื่องอย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีความพยายามอย่างหนักเป็นคุณสมบัติและมักจะบอกเล่าว่ายากลำบากระหว่างกว่าที่จะมาถึงเส้นชัย แต่สูตรโกงที่แท้จริงที่จะทำให้เราไม่ถึงเส้นชัยด้วยความเหนื่อยหอบก็คือ เราต้องรู้จักคำว่าพักระหว่างทาง
หากเราทำและสามารถแบ่งเวลาพักอย่างเป็นระบบมาได้ตั้งแต่แรก เราไม่จำเป็นต้องเค้นพลัง หืดหอบ หายใจอย่างแรง หรือฟื้นฟูร่างกายหลังจากวิ่งผ่านเส้นชัยมา คุณสามารถมองหาเส้นชัยต่อไปได้เลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นหากอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องงาน ร่างกาย และจิตใจ คุณต้องรู้จักปล่อยให้ร่างกายของคุณได้พักเสียบ้าง
“หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี หยุดผลักดันตัวเองให้ถึงขีดจำกัดและเอาชนะตัวเองด้วยการหยุดพักทำงานให้มากขึ้นแทน”
Reference:
Your brain will perform better if you shift into this mode of working
บทความแนะนำ:
การขอโทษ หรือ การยอมรับว่าตัวเองผิด ทำไมถึงเป็นเรื่องสำคัญ?