
The 10X Rule หรือ กฎ 10X ผู้เขียนเขาได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าคนเราอยากจะประสบความสำเร็จ เราต้องลงมือทำให้มากกว่าคนอื่นอย่างน้อย 10 เท่า เรื่องราวและวิธีการจะเป็นอย่างไร? เรามาหาคำตอบกันจากหนังสือ The 10X Rule – The only difference between success and failure

กฎ 10X ปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จที่แสนพิเศษทั้งหมด
เขาว่ากันว่าชีวิตของคนเราขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วย “เป้าหมาย” ซึ่งเป้าหมายนั้นมันทำให้เราอยากจะมีชีวิตในแต่ละวันต่อไปอย่างมีความหมาย เพื่อหวังว่าสักวันนึงเราจะไปถึงยังเป้าหมายนั้นในท้ายที่สุด
“ในสังคมทำงาน มีแต่นักตั้งเป้าหมาย แต่ไม่ค่อยมีนักทำเป้าหมายให้สำเร็จ”
แต่ในความเป็นจริง พบว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถไปถึงเป้าหมายได้ เพราะมีหลายคนก็เลือกที่จะเปลี่ยนเป้าหมายระหว่างทาง หรือ พวกเขาเลือกที่จะหนี และก็ยังมีอีกหลายคนเลือกที่จะมีเป้าหมายแค่ตั้งเอาไว้เฉยๆ โดยไม่ได้ลงมือทำอะไรให้ไปถึงเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้เลย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า โลกนี้ถึงได้มีทั้งคนที่ “สมหวัง” และคนที่ “ผิดหวัง” และก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่น่าสงสาร ก็คือ คนที่“คาดหวัง” และ “สิ้นหวัง” อยู่ด้วยเช่นกัน
แล้ว กฎ 10X จากหนังสือเล่มนี้ จะช่วยอะไรเราได้บ้าง?
หนังสือเล่มนี้อาจจะทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า กฎ 10X คืออะไรกันแน่? และถ้าหากมีโอกาสได้อ่านคำโปรยด้านหลังหนังสือจนจบ ก็อาจจะสร้างความหวังเล็กๆ ให้กับตัวเอง เกิดความคาดหวังว่าในหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราได้เคล็ดลับ หรือวิธีการอะไรในการช่วยให้ตัวเราประสบความสำเร็จได้บ้าง? เชื่อว่าพวกเราจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะรายละเอียดในหนังสือเล่มนี้จะสอนให้เรารู้จักการทำให้เป้าหมายให้เป็นจริง หรืออาจจะทำให้ได้มากกว่านั้นและดีกว่านั้นสัก 10 เท่า
“กฎ 10X บอกว่า อย่างน้อยคุณต้องทำให้มากกว่าคนอื่น 10 เท่า”
Grant Cardone เขาเป็นนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง จากหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ก่อตั้งบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากมาย ผู้คนต่างถามเขาเกี่ยวกับเคล็ดลับที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้มากมายขนาดนี้ ตัวเขาเองพบว่าที่เขาสามารถประสบความสำเร็จได้ ก็เพราะเขาทำตามกฎ 10X เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมาซึ่งความสำเร็จและทุกวิถีทางที่เขาพูดถึงก็คือ การคิด ทำ และพยายามมากกว่าคนอื่น 10 เท่า
“เราจะเข้าถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ก็ต่อเมื่อเริ่มลงมือในทางที่ถูกด้วยความเพียรพยายาม”
มีผู้คนมากมายหลายคนชื่นชอบกับการตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงส่ง แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเขาก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ หรือไม่ได้มีความคิดที่จะหาหนทางที่จะทำให้ตัวพวกเขาเองไปถึงเป้าหมายนั้นได้ นี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเราอีกหลายคนถึงไปไม่ถึงเป้าหมาย?
พวกเราลองนึกถึงการที่เรามักตั้งเป้าหมายในวันปีใหม่อย่างมีความสุข จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงธันวาคม เราอาจจะบรรลุเป้าหมายได้ไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ แต่เราก็จะทำแบบนี้ด้วยการตั้งเป้าหมายแล้วก็ไปไม่เคยถึงวนไปวนมาแบบนี้ทุกปี แล้วทุกๆ ปี เราก็มักจะมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าเมื่อไรกันนะที่เราจะไปถึงเป้าหมายสักที? บางคนอาจจะถึงกับตัดพ้อ พูดเชิงลบกับตัวเองทำให้ต้องหมดกำลังใจ หมดความมั่นใจไปเลยก็มี ในทางกลับกัน ทำไมเราไม่เคยตั้งคำถามว่าเมื่อไรกันนะ ที่เราจะต้นเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างเสียที?
“ความหมายของคำว่าความสำเร็จ มันขึ้นอยู่กับว่าเราถามคำถามนี้กับใครต่างหาก”
นึกถึงตอนเรายังเป็นเด็ก ความสำเร็จของเราอาจจะเป็นการแอบเอาขนมไปกินที่โรงเรียนได้โดยที่ครูไม่รู้ หรือการแกล้งหลับตอนที่แม่เข้ามาสั่งให้เรานอนแล้วค่อยๆ แอบลืมตาขึ้นมาหลังจากนั้นโดยที่แม่ไม่รู้ หรือ พอเราก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ความสำเร็จของเราอาจจะหมายถึงการได้เกรดดีๆ ในวิชาแสนยาก หรือ การมีแฟนที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน หรือ การได้ค่าขนมไปโรงเรียนเยอะๆ และก็ยังมีเป้าหมายอื่นๆ ตามมาเต็มไปหมด อาทิเช่น เรื่องของการแต่งงาน การมีลูก การก่อตั้งบริษัทของตนเองให้ประสบความสำเร็จ เป้าหมายเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่คนส่วนใหญ่มักตั้งกันเอาไว้ ช่วงวัย หรือ ช่วงอายุที่เปลี่ยนไป ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เป้าหมายและเครื่องมือวัดความสำเร็จของเราเปลี่ยนตาม
“ไม่มีใครยืนรอความสำเร็จ แล้วให้มันก็วิ่งเข้ามาหาเราเองอย่างง่ายๆ หรอก เราต้องออกไปตามหามันด้วยตัวของเราเอง”
ชีวิตของเราอาจจะดูยากขึ้น เมื่อเราไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราตั้งความหวังเอาไว้ อาชีพหรือหน้าที่การงานกลายเป็นเรื่องชั่วคราว และเรากำลังติดกับอยู่กับเรื่องของการเงิน หรือ แม้กระทั้งในเรื่องของความสัมพันธ์ ในการที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้นมี 3 สิ่งที่เราต้องรู้เสียก่อน นั่นก็คือ ความสำเร็จสำคัญมากต่อชีวิตมนุษย์ ความสำเร็จเป็นหน้าที่ของเรา และไม่มีคำว่าทางลัดสำหรับความสำเร็จ ดังนั้นถ้าหากเรามัวแต่ตั้งเป้าหมายแต่ไม่วางแผนรองรับ แถมยังไม่ลงมือทำอะไรเลย นั่นก็เท่ากับว่าเรากำลังลดโอกาสตัวเองที่จะประสบความสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว
“ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราอยากจะอยู่เพื่อทำเป้าหมายและความฝันของเราให้เป็นจริง หรือ เราจะอยู่เป็นเพียงแค่ทรัพยากรที่ช่วยให้คนอื่นประสบความสำเร็จ”
คนที่พยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ใฝ่หาความก้าวหน้า พร้อมรับโอกาสและบทบาทใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิต พวกเขาไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือและไม่เคยพูดว่าไม่พร้อม อันที่จริงแล้วมันไม่สำคัญเลยที่ตอนนี้คุณจะมีความสามารถแค่ไหน? หรือทำอะไรได้บ้าง? สิ่งที่สำคัญคือคุณสามารถพัฒนาไปได้แค่ไหน? เราพบว่า คนส่วนใหญ่มักติดอยู่กับคำว่าไม่พร้อม เพราะคิดว่าตัวเองมีความสามารถไม่พอ จึงทำให้พวกเขาทำได้แค่เป็นเพียงทรัพยากรที่ผลักดันคนอื่นให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ตัวเองก็ยังคงอยู่ที่เดิมแทน
“สิ่งต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา แต่มันจะเกิดขึ้นเพราะเรา”
เราถูกดึงเข้าหาความสำเร็จ เพียงเพราะเราเป็นคนสร้างแรงดึงดูดนั้น ความล้มเหลวเช่นกันเราเป็นคนดึงดูดมันเข้ามาหาเราเอง เราจะต้องมีสติให้มากและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมันง่ายมากที่จะรับผิดชอบเมื่อเรามีความเกี่ยวข้องทางตรง แต่ถ้ามันเป็นสถานการณ์ที่เราควบคุมไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่เรากำลังบรรยายเรื่องสำคัญ แต่ทุกคนในห้องประชุมไม่ตั้งใจฟัง ชวนกันคุยและมัวแต่เล่นโทรศัพท์ ในสถาณการณ์แบบนี้สำหรับเรา เราก็อาจจะโทษองค์กรว่าเป็นต้นเหตุที่หยิบยื่นหัวข้อน่าเบื่อเช่นนี้มาให้เราพูดก็ได้ แต่สำหรับ กฎ 10X เขาต้องการให้เราย้อนกลับมามองที่ตัวเองว่าทำไม? เราถึงทำให้หัวข้อการบรรยายที่น่าเบื่อกลายเป็นหัวข้อที่น่าสนใจขึ้นมาไม่ได้? และ จากนั้นให้เราพยายามหาทางแก้ไข เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์แบบเดิมในครั้งถัดไป
“รางวัล จะเป็นของคนที่ลงมือทำเท่านั้น”
ความคิดและการกระทำของเราเป็นเหมือนคนขับรถที่จะพาเราไปหาความสำเร็จในชีวิต เราจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสูงๆ ได้เลย ถ้าเราคิดว่าชีวิตของเรานั้นมีขีดจำกัด เราสามารถพูดได้ว่าตัวเราเองสามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตได้ด้วยการเปลี่ยนการกระทำ สำหรับเรื่องนี้มันน่าหงุดหงิดนิดหน่อยที่ตัวเราเองก็อาจจะไม่รู้เหมือนกันว่าเราต้องเปลี่ยนตัวเองขนาดไหนกันถึงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้?
กฎ 10X เขามีการแบ่งแยกกลุ่มและลำดับเวลาการเดินทางเข้าหาเป้าหมายไว้ เอาไว้ดังนี้
- ไม่ทำอะไรเลย : ทุกคนในกลุ่มนี้มีความฝัน แต่ส่วนใหญ่มักจะลงมือกับมันไม่นานพอที่จะทำให้ได้สิ่งที่ต้องการ พวกเขาจะพอใจมาก ถ้าเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไปไม่ถึงเป้าหมายนั้นเป็นเพราะปัญหาด้านการขาดความรู้ ความขาดสามารถ หรือ สังคมไม่ให้โอกาส เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้พวกเขารู้สึกดีกว่าการยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนไม่มีความพยายาม
- หนี : คนในกลุ่มนี้ไม่ใช่คนที่ไม่ได้ลงมือทำ แต่เป็นคนที่ลงมือทำแล้วแต่ไม่ได้รับผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ความรู้สึกผิดหวังที่พวกเขาได้รับ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะหนีแทน สิ่งเดียวที่คนกลุ่มนี้ควรทำก็คือ อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปสถาณการณ์เร็วเกินไปนัก เราอาจจะคิดว่าเราล้มเหลวแล้ว หลังจากพยายามไปแค่ 2 ครั้งแล้วไม่เป็นผล แต่ถ้าหากเราพยายามต่อไปเป็นครั้งที่ 3 เราอาจจะพบหนทางที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมก็ได้
- การกระทำแบบปกติ : ระดับการกระทำของแต่ละคน กลายเป็นสิ่งที่สังคมตัดสินว่ารับได้หรือไม่ได้ คนกลุ่มนี้เป็นเหมือนคนครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ พวกเขาไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายและพวกเขาเองก็ไม่อยากถูกตัดสินอะไร พวกเขาจึงเลือกที่จะคงความปกติเอาไว้ และเลือกที่จะสนับสนุนสังคมมากกว่า จะเป็นคนที่สังคมสนับสนุน
- การกระทำที่ยิ่งใหญ่ : การกระทำที่ยิ่งใหญ่เป็นเพียงการทำอะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราสามารถขับเคลื่อนตัวเอง องค์กร หรือ ครอบครัวของเราไปข้างหน้าต่อไปได้ ไม่มีการหนี ไม่มีการกระทำแบบปกติ ไม่มีการอยู่นิ่งๆ แต่เป็นเพียงการกระทำที่สม่ำเสมอเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง นี่แหละเรียกว่าการกระทำที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงคนประเภทนี้เท่านั้นที่จะสามารถเปล่งประกายท่ามกลางปัญหาของโลกใบนี้ได้
“การกระทำที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ความฝันและความทะเยอทะยานของเรากลายเป็นจริง”
สังคมทำให้เราเชื่อว่าบางสิ่งเป็นจริงในขณะที่บางสิ่งไม่จริง นั่นเกิดจากมุมมองความคิดของคนในสังคมกำหนดขึ้นมา แต่ข้อเท็จจริงก็พิสูจน์แล้วว่า สำหรับเรื่องเป้าหมาย ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ มีเพียงเป้าหมายที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเมื่อเทียบกับเป้าหมายอื่นๆ เท่านั้นเอง
“ตั้งเป้าหมายสูงๆ ไม่ได้แปลว่าเพ้อฝัน”
อย่ากลัวที่จะตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ หากเป้าหมายเหล่านั้นสามารถสร้างความสุขและเติมเต็มให้กับชีวิตของเราได้ มันน่าตื่นเต้นมากที่จะรู้สึกถึงความสำเร็จเมื่อเราทำอะไรสักอย่างที่คนอื่นเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เราจะได้รับโอกาสที่จะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นแล้วว่ามันเป็นไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยู่ในยุคหิน การนั่งอยู่สักที่แล้วคิดว่าอยากติดต่อกับใครบางคนที่อยู่ห่างกันหลายพันไมล์ดูเป็นเรื่องที่บ้าและไร้สาระมาก แล้วลองดูพวกเราตอนนี้สิ อยู่คนละซีกโลกยังสามารถติดต่อกันได้เลย
บทสรุป
ชีวิตเป็นของขวัญที่ให้เราสามารถได้ใช้อย่างมีความสุข คนหลายกลับเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขและขอให้โลกสิ้นสุดลงในวันถัดไปเสียที เพราะพวกเขาอาจจะไม่ได้รับผลลัพธ์ของการกระทำอย่างที่พวกเขาหวัง แต่จุดจบมันอยู่ที่ว่าแต่ละคนจะมองแบบไหน?
เราจะมองความล้มเหลวครั้งที่หนึ่งเป็นจุดสิ้นสุด หรือ จะมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการลงมือทำครั้งที่สอง? ความลับของการประสบความสำเร็จ คือการที่เรามีเป้าหมายที่เป็นเหมือนกุญแจเปิดกล่องความสุขของเรา ทำให้เรามีพลังมากพอที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้อีก ถึงแม้ว่าเราอาจจะต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อมให้ได้มันมา แต่ก็ต้องให้แน่ใจว่าอย่างน้อยเราได้พยายามมากกว่าคนอื่นสัก 10 เท่าแล้วเพื่อเป้าหมายนี้
“เป้าหมายที่พิเศษเหมาะสำหรับคนที่พิเศษ และคนที่พิเศษก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นพิเศษสัก 10”