ต่อรองเงินเดือน อย่างไร? ที่จะทำให้เรามีโอกาสได้หรือใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด มาหาคำตอบกันกับ 37 วิธีต่อรองเงินเดือนที่คุณควรรู้ ในบทความนี้ได้เลย
สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราที่หาเช้ากินค่ำ นอกจากสิ่งที่เรียกว่า Passion ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้เราพัฒนาตัวเองในแต่ละวันแล้ว “เงินเดือน” หรือ “ค่าตอบแทน” ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรียกว่าสำคัญมากและแทบจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เราทำงานเลยก็ว่าได้
“มีคนเพียง 37% เท่านั้นที่ ต่อรองเงินเดือน เสมอ”
ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มงานใหม่หรือการเลื่อนตำแหน่ง ทักษะการต่อรองเงินเดือนเป็นสิ่งที่คุณควรมี เพื่อรักษาสิทธิ์และเพิ่มค่าตอบแทนที่คุณควรจะได้ จากการสำรวจในต่างประเทศโดย Salary.com เขาพบว่ามีพนักงานเพียง 37% เท่านั้นที่กล้า ต่อรองเงินเดือน ทุกครั้งที่พวกเขาเริ่มต้นงานใหม่หรือเลื่อนตำแหน่ง ในขณะเดียวกันมีพนักงานเพียง 18% ที่ไม่เคยต่อรองเงินเดือนเลยสักครั้ง ที่แย่ไปกว่านั้นขึ้นมีถึง 44% ที่ไม่เคยพูดถึงเรื่องการขอขึ้นเงินเดือนในระหว่างการพิจารณาผลงานเลย
“การต่อรองเงินเดือนอาจเป็นเรื่องน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการไม่ทำมันเลย”
ผลการศึกษาของ Margaret A. Neale ศาสตราจารย์ด้านการเจรจาต่อรองของ Stanford แสดงให้เห็นว่าสมมติคุณได้รับเงินเดือน $100,000 และเพื่อนร่วมงานของคุณที่เข้ามาทำงานพร้อมกันในตำแหน่งเดียวกันต่อรองเงินเดือนจนเขาได้เงินสูงถึง $107,000 หมายความว่า ถ้าเงินเดือนเป็นแบบไปตลอดระยะเวลา 10 ปี ในบั้นปลายหรืออนาคตระดับความร่ำรวยของพวกคุณ 2 คนจะต่างกันโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เริ่มงานที่แรกหรือเป็นการเปลี่ยนงานครั้ง 5 ของคุณ เป็นการเลื่อนตำแหน่งหรือขยับโยกย้ายแผนก มันถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องรู้วิธีการเจรจาต่อรอง เพื่อเงินที่คุณมีโอกาสจะได้ 37 วิธีต่อรองเงินเดือนที่คุณควรพิจารณาดู มีดังต่อไปนี้
การเตรียมพร้อม [ข้อ 1-11]
1. รู้คุณค่าของตัวเอง – หากคุณได้รับการเสนอค่าจ้างเป็นตัวเลขหนึ่งจากฝ่ายบุคคลแล้ว สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้ก่อนว่าฐานค่าจ้างในตำแหน่งนี้หรือบริษัทอื่นๆ ที่มีขอบเขตงานคล้ายคลึงกับคุณเขาได้กันเท่าไร? และเมื่อตัวเลขนี้เป็นตัวเลขตั้งต้น คุณสามารถรเรียกไปได้ถึงเท่าไร? หากคุณเดินเข้าไปเจรจาต่อรองเงินเดือน
2. พูดคุยกับนายหน้า – นายหน้าในที่นี่หมายถึงคนที่ติดต่อคุณมาเมื่อคุณสมัครงานหรือสนใจในการติดต่อคุณให้มาทำงานที่บริษัทของพวกเขาเพราะเห็นโปรไฟล์ของคุณ (ตัวกลาง เช่น Head Hunter, Recruiter เป็นต้น) ลองรับสายจากนายหน้าเหล่านี้ดู พวกเขารู้ว่าคนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของคุณมีค่าอย่างไร จงใช้การติดต่อพูดคุยกับพวกเขาให้เป็นประโยชน์ มีส่วนร่วมในการสนทนา ทั้งในเรื่องของความรับผิดชอบและค่าจ้างในตำแหน่งที่คุณสนใจ
3. จัดระเบียบความคิดของคุณ – ในการจัดระเบียบความคิดและค้นคว้า ไม่ว่าจะ งาน ตำแหน่ง ระดับของแต่ละบริษัท และตัวเงินที่สามารถเรียกได้ในแต่ละงานหรือตำแหน่ง ให้คุณลองศึกษาโดยดูจากแหล่งข้อมูลฟรีที่ She Negotiates
4. เลือกด้านบนของช่วง – ขณะที่คุณกำลังทำวิจัย คุณอาจพบช่วงตัวเลขเงินเดือนในท้องตลาดสายอาชีพที่คุณทำอยู่ ซึ่งแม้ว่าด้วยวัฒนธรรมประเพณีเราจะสอนให้ถ่อมตัว ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลให้คุณเลือกตัวเลขตรงกลางเพราะความเกรงใจหรือถ่อมตัว แต่คุณควรขอตัวเลขด้านบนแทน คุณมีสิทธิ์ได้ค่าตอบแทนสูงสุด และอยากให้รู้ไว้เลยว่าต่อให้คุณจะเลือกตัวเลขบนสุดไป คุณต้องไปโดนนายจ้างต่อรองอย่างแน่นอน ดังนั้นคุณต้องมีช่องว่างเพื่อที่จะได้เงินเดือนที่คุณพอใจด้วย
5. รู้จำนวน (ที่แน่นอน) – คุณควรขอตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงมากๆ เช่น 37,550 บาท ไม่ใช่ 37,000 บาท เมื่อพนักงานใช้ตัวเลขที่แม่นยำมากขึ้นในการเจรจาต่อรองครั้งแรก พวกเขามีแนวโน้มที่จะได้รับข้อเสนอใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเขาหวังไว้มากขึ้น เพราะนายจ้างจะถือว่าคุณได้ทำการวิจัยมาอย่างละเอียดแล้ว
6. เต็มใจที่จะเดินจากไป – เมื่อคุณพิจารณาตัวเลขในใจของคุณแล้ว คุณควรมี “จุดที่จะเดินออกไป” ด้วย ซึ่งนั่นก็คือข้อเสนอสุดท้ายที่ต่ำมากเกินกว่าที่คุณจะรับได้ และคุณต้องปฏิเสธมัน สิ่งนี้อาจขึ้นอยู่กับความต้องการทางการเงิน มูลค่าตลาด หรือสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้รู้สึกดีกับเงินเดือนที่คุณได้รับ การเดินออกมาไม่ง่าย แต่คุณจำเป็นต้องรู้ว่าเมื่อไรที่ควรจะทำ
7. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพร้อมแล้ว – ก่อนที่คุณจะขอขึ้นเงินเดือน คุณต้องถามตัวเอง 2-3 ข้อนั่นก็คือคุณมีประสบการณ์การทำงานมาแล้วถึง 1 ปี หรือเกิน 1 ปีหรือไม่ อีกข้อคือคุณมีอะไรเกินความคาดหมายหรือเป้าที่พวกเขาตั้งเอาไว้หรือไม่ อะไรที่ทำให้คุณดีกว่าหรือเหนือกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ
8. วางแผนเวลาที่เหมาะสม – เวลาคือทุกสิ่ง คนส่วนใหญ่รอจนถึงช่วงเวลาการทบทวนผลงานเพื่อขอปรับเงินเดือน แต่เมื่อถึงเวลาเจ้านายคุณคงตัดสินใจเสร็จไปแล้วว่าจะเพิ่มเงินให้กับทีมไหนหรือแผนกไหนดี เพราะฉะนั้นแทนที่จะรอให้ถึงช่วงเวลาการประกาศปรับเงินเดือน ให้เริ่มพูดคุยกับเจ้านายของคุณเกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนล่วงหน้าสัก 3-4 เดือนไปเลย เพราะนั่นคือเวลาที่นายจ้างใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับงบประมาณ
9. เตรียมหนึ่งแผ่น – เตรียมบทสรุปที่แสดงให้เห็นว่าคุณจะเป็นพนักงานที่ยอดเยี่ยมเพียงใด บอกเล่าความสำเร็จ รางวัล และคำชื่นชมจากลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานที่คุณเคยได้รับทั้งหมดลงในกระดาษ A4 คุณสามารถนำเสนอได้ด้วยการพูดหรือนำกระดาษแผ่นนี้มาเป็นส่วนประกอบของ Portfolio ที่คุณยื่นให้ที่ทำงานก็ได้
10. จำไว้ว่าการฝึกฝนทำให้สมบูรณ์แบบ – การซ้อม ซ้อม และซ้อม เป็นสิ่งที่สำคัญคือที่สุด จดสิ่งที่คุณต้องการจะพูดแล้วฝึกฝนมันหน้ากระจก อัดวิดีโอ หรือซ้อมกับเพื่อนจนกว่าคุณจะรู้สึกสบายใจในการสนทนา
11. กำหนดการประชุมเป็นวันพฤหัสบดี – จากการศึกษาทำให้เห็นว่าคุณมีแนวโน้มจะได้รับการขึ้นเงินเดือนหากคุณทำการเจรจาต่อรองในวันพฤหัสบดี พนักงานเรามักจะเริ่มต้นสัปดาห์กันด้วยความไม่พอใจและมีความหัวแข็งในตัว ยิ่งเวลาผ่านไปเราจะเริ่มมีความยืดหยุ่นและยอมรับได้มากขึ้น ดังนั้นวันพฤหัสบดีและวันศุกร์เป็นวันที่เราเปิดกว้างในการเจรจาและประนีประนอมมากที่สุด
การเริ่มการเจรจา [ข้อ 12-20]
12. เพิ่มพลัง – ก่อนที่คุณจะเริ่มการเจรจา ให้ลองทำตามเคล็ดลับท่าแสดงพลังของ Amy Cuddy หรือเรียกว่าการเข้าไปในห้องน้ำ ยืนตรง เอามือเท้าเอว คางและหน้าอกเชิดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ การทำเช่นนี้จะเพิ่มฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งส่งผลต่อความั่นใจและลดคอน์ติซอลฮอร์โมนความเครียด
13. ดื่มกาแฟ – การศึกษาโดย European Journal of Social Psychology พบว่าคาเฟอีนช่วยทำให้เราต่อต้านการโน้มน้าวใจได้มากขึ้น หมายความว่าคุณจะสามารถยืนหยัดในการเจรจาได้ง่ายขึ้น
14. เดินเข้าไปด้วยความมั่นใจ – วิธีที่คุณเดินเข้าไปในห้องเจรจาเป็นการกำหนดได้ว่าปฏิสัมพันธ์ที่เหลือหลังการเจรจาจะเป็นอย่างไร คุณเคยเห็นใครบางคนฟุบหน้าไปทางประตูด้วยใบหน้าบูดบึ้งก่อนเข้าไปเจรจาไหม ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจ มีความกังวลสูง คุณควรยกศีรษะคุณให้สูงและยิ้มเมื่อคุณก้าวเข้าไปในห้องเจรจา เริ่มต้นสิ่งต่างๆด้วยความรู้สึกเชิงบวก ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
15. เริ่มด้วยคำถาม – การเจรจาของคุณควรเริ่มด้วยการถามคำถามเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการที่แท้จริง ความปรารถนา ความกลัว ความชอบ และลำดับความสำคัญของอีกฝ่าย การได้รับคำตอบจากคำถามเชิงวินิจฉัยความต้องการของอีกฝ่ายจะทำให้คุณได้รับคำตอบที่ช่วยให้การเจรจาของคุณผ่านไปได้ดีและไปในทิศทางที่คุณต้องการ ยกตัวอย่างเช่น “อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดของคุณในตอนนี้” คำถามนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าคู่เจรจาของคุณมาด้วยเหตุผลอะไรและเสนอวิธีแก้ปัญหาที่จะช่วยเขาได้
16. แสดงสิ่งที่คุณสามารถทำได้ – ก่อนที่คุณจะเริ่มพูดถึงตัวเลขที่คุณต้องการ ให้คุณเริ่มด้วยการพูดถึงสิ่งที่คุณได้ทำไปแล้วเสียก่อน และตามด้วยสิ่งที่คุณทำได้หรือสามารถทำให้บริษัทได้ต่อจากนี้ คุณยังจำแผนการโม้สิ่งที่ทำได้ใน 1 หน้ากระดาษ A4 ได้ใช่ไหม ใช้รายการในกระดาษแผ่นนั้นในการพูดโฆษณาตัวเอง เน้นเฉพาะบทบาทสำคัญที่คุณได้ทำลงไป จากนั้นพูดถึงแผนความคิดในอนาคตข้างหน้าที่คุณรู้สึกตื่นเต้น หรือจะเป็นแผนที่ส่งผลให้องค์กรของคุณก้าวไปข้างหน้าก็ได้
17. มุ่งเน้นไปที่อนาคตไม่ใช่อดีต – เมื่อเราพูดถึงการเจรจาต่อรองเงินเดือนสำหรับงานใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทจะถามเกี่ยวกับเงินเดือนของคุณในปัจจุบัน แม้จะฟังดูเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณได้รับค่าจ้างที่น้อยเกินไปจากงานปัจจุบันหรือต้องการเงินให้มากขึ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรโกหกเลย คุณควรเริ่มจากการบอกตัวเลขของเงินเดือนในปัจจุบันของคุณ แต่ต้องเป็นตัวเลขที่รวมสวัสดิการและโบนัสแล้ว จากนั้นให้ต่อบทสนทนาด้วยตัวเลขที่ต้องการอย่างรวดเร็ว อธิบายทักษะและความรับผิดชอบใหม่ของคุณที่คุณทำได้ ตัวเลขเงินเดือนในท้องตลาด และความเติบโตที่คุณสามารถทำได้
18. คิดถึงคนอื่น – เมื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาแล้วให้ตั้งสติในการคิดเกี่ยวกับสถานการณ์จากมุมมองของอีกฝ่าย งานวิจัยของ Adam Galinsky นักจิตวิทยาชาวโคลัมเบีย แสดงให้เห็นว่าเมื่อเราพิจารณาความคิดและความสนใจของอีกฝ่าย เรามักจะพบวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลดีสำหรับทั้งสองฝ่าย
19. ลองนึกถึงคนอื่น – งานวิจัยจาก Columbia Business School แสดงให้เห็นว่าคนทั่วไปโดยเฉพาะเพศหญิงมีแนวโน้มที่จะทำได้ดีในการเจรจาต่อรอง ดังนั้นในการเตรียมตัวเจรจา ให้คิดเสียว่าสิ่งที่คุณกำลังจะขอส่งผลต่อคนรอบข้างอย่างไรบ้างในแง่บวก ไม่ว่าจะต่อตัวคุณ ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งเจ้านายของคุณ หากคุณมีความสุขกับตำแหน่งและค่าตอบแทนมากขึ้น คุณก็มีแนวโน้มที่จะตั้งใจทำงานและประสบความสำเร็จมากขึ้น
20. คิดบวก ไม่รีบเร่ง – การเจรจาในความคิดของคุณอาจจะเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่คุณควรรักษาบทสนทนาในแง่บวกไว้เสมอ การพูดว่าคุณสนุกกับการทำงานและชอบความท้าทายในโครงการที่ได้ทำมากแค่ไหนในปีที่ผ่านมา และคุณสามารถขยายขอบเขตการทำงานของตัวเองได้มากแค่ไหนในปีต่อไป จะทำให้การพูดคุยเกี่ยวกับการพิจารณาตัวเลขค่าตอบแทนเป็นไปได้มากขึ้น
เริ่มต้นด้วยการถาม [ข้อ 21-31]
21. พูดตัวเลขในใจของคุณก่อน – การปักตัวเลขแรกลงในการเจรจาต่อรองเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากคุณเริ่มต้นด้วยตัวเลขที่ต่ำเกินไป ข้อเสนอสุดท้ายที่คุณได้อาจต่ำกว่าที่คุณต้องการ คุณควรเป็นคนแรกที่พูดถึงตัวเลขเสมอ เพื่อควบคุมการเจรจา
22. ขอมากกว่าสิ่งที่คุณต้องการ – คุณควรเจรจาขอตัวเลขมากกว่าที่คุณต้องการจริงๆ ตามหลักจิตวิทยาการทำแบบนี้จะทำให้คู่ต่อรองของคุณรู้สึกว่าเขาหรือเธอได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าในตอนที่ตกลงข้อเสนอสุดท้าย เพราะเหมือนกับว่าการเจรจาครั้งนี้เดินไปตามทิศทางของเขา แต่ความจริงแล้วการเจรจาครั้งนี้เดินมาตามทิศทางของคุณ ข้อตกลงยอมรับกันที่ตัวเลขที่คุณต้องการซึ่งน้อยกว่าตัวเลขแรกที่คุณขอไป
23. อย่าใช้ช่วง – คุณไม่ควรใช้คำว่า “ระหว่าง” ขณะที่ทำการเจรจา ยกตัวอย่างเช่น คุณไม่ควรพูดว่า “คุณต้องการเงินเดือนระหว่าง 50,000-60,000 บาท” หากคุณพูดช่วงเงินแบบนี้ไปแปลว่าคุณเต็มใจยอมรับตัวเลขที่ต่ำที่สุดที่คุณเสนอไป ส่งผลให้อีกฝ่ายจะเจรจาข้ามไปที่จำนวนที่น้อยกว่าทันที
24. ใจดีแต่มั่นคง – หากนี่เป็นการเจรจางานใหม่ของคุณ นี่เป็นสคริปต์ที่ดีที่คุณควรลอง ซึ่งสคริปต์นี้คิดโดย Rebecca Thorman จาก US News & World Report “ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ทำงานที่นี่ ฉันรู้ว่าฉันจะสามารถสร้างคุณค่ามากมายให้กับที่นี่ได้ ฉันขอขอบคุณข้อเสนอที่ 58,000 ดอลลาร์ แต่จริงๆแล้วฉันคาดว่าตัวเลขจะอยู่ในช่วง 65,000 ดอลลาร์ โดยพิจารณาจากประสบการณ์ ผลงาน และประสิทธิภาพในการทำงานของฉัน เราพอจะสามาถดูเงินเดือนที่ 65,000 ดอลลาร์ สำหรับตำแหน่งนี้ได้ไหม”
25. มุ่งเน้นไปที่มูลค่าตลาด – แทนที่จะพูดคุยถึงการขึ้นเงินเดือนตามที่คุณหวัง ให้เน้นการสนทนาไปที่จำนวนตัวเลขที่ตลาดจ่ายให้กับตำแหน่งของคุณ วางกรอบใหม่สำหรับตัวเลขค่าตอบแทนที่คู่เจรจาของคุณใช้ เช่น ส่วนต่างของเปอร์เซ็นต์ระหว่างค่าตอบแทนที่ตามท้องตลาดให้กับตำแหน่งของคุณกับตัวเลขค่าตอบแทนที่บริษัทให้กับคุณ
26. จัดลำดับความสำคัญของคำขอของคุณ – นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาของคุณ วางทุกสิ่งที่คุณมองหาเอาไว้แล้วเรียงลำดับมันให้ดี ในการเจรจาคุณอาจพูดว่าเงินเดือนมีความสำคัญที่สุดสำหรับคุณ รองลงมาคือสถานที่ทำงาน เวลาพักร้อน โบนัส และการเซ็นสัญญา จากงานวิจัยของศาสตราจารย์ Adam Grant แสดงให้เห็นว่าการจัดลำดับการเจรจาของคุณเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้คู่เจรจาของคุณเข้าใจความสนใจของคุณโดยไม่ต้องอธิบายข้อมูลให้มากเกินไป จากนั้นคุณสามารถขอให้พวกเขาแบ่งปันลำดับความสำคัญของพวกคุณเพิ่มหาโอกาสในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกันได้
27. แต่อย่าพูดถึงความต้องการส่วนตัว – อย่ามุ่งความสนใจไปที่ความต้องการส่วนตัว เช่น ความที่ว่าค่าเช่าห้องของคุณขึ้นราคาหรือลูกของคุณกำลังจะเข้าโรงเรียน เพราะเป็นไปได้ว่าทุกคนอาจเผชิญกับสถานการณ์เดียวกันกับคุณเช่นกัน และนั่นหมายถึงการเปรียบเทียบที่ถ้าขึ้นค่าตอบแทนก็ต้องขึ้นทั้งหมด และถ้าไม่ก็ต้องไม่ทั้งหมดเช่นกัน คุณควรสร้างเหตุผลหรือกรณีที่ดีกว่ากับเจ้านายของคุณว่าคุณมีค่ามากขึ้นเมื่อมุ้งเน้นไปที่ผลงานและความสำเร็จของคุณ
28. ขอคำแนะนำ – หลังจากการขายสรรพคุณของตัวคุณเองจบลง ให้พูดคุยเกี่ยวกับคุณค่าของคุณ ให้คุณเริ่มด้วย “ฉันเชื่อใจคุณ และฉันให้ความสำคัญกับคำแนะนำของคุณมาก คุณมีอะไรจะแนะนำฉันหรือไม่” การทำเช่นนี้จะเป็นการยกยอคู่เจรจาของคุณทางอ้อม คุณทำให้เขาเริ่มมองในมุมมองของคุณดูบ้างและโน้มน้าวให้เขาสนับสนุนคำขอที่คุณขอไป
29. ใช้ Email ตามความเหมาะสม – การเจรจาส่วนใหญ่เกิดขึ้นต่อหน้าหรือทางโทรศัพท์ แต่ถ้าการสื่อสารของคุณหรือการจ้างงานเกิดขึ้นทาง Email คุณต้องทำให้แน่ใจว่าคุณอยู่กับสคริปต์ที่ดีพอ พยายามใส่ความเห็นอกเห็นใจ มีบทสนทนาที่น่ายินดี และเพิ่มความใจกว้างลงไปในข้อความให้มากที่สุด
30. อย่าลืมฟัง – การรับฟังอีกฝ่ายในระหว่างการเจรจามีความสำคัญพอๆกับการถามหรือการโต้เถียง เพราะการให้ความสนใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจะทำให้คุณเข้าใจความต้องการของเขา รวมถึงรู้วิธีการหาทางออกที่ทำให้คุณทั้งคู่ยินดีด้วย
31. อย่ากลัวคำว่า “ไม่” – คุณอาจกลัวการถูกปฏิเสธแต่การเจรจาจะไม่เริ่มขึ้นจริงจนกว่าจะมีคนพูดว่า “ไม่” จริงๆแล้วการเจรจาไม่ใช่การพูดขอในสิ่งที่คู่เจรจาของเราต้องการเช่นกัน แต่การเจรจาคือการสนทนาที่มีเป้าหมายบรรลุข้อตกลงที่อีกฝ่ายไม่ได้มีความสนใจตรงกันกับคุณ ดังนั้นจงเข้าใจว่าคำว่า “ไม่” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการไม่ใช่คำชี้แจงว่าผลลัพธ์การเจรจาของคุณจะเป็นอย่างไร
การตอบรับคำตอบ [ข้อ 32-37]
32. ใช้การถ่วงเวลาเพื่อประโยชน์ของคุณ – เมื่อคุณได้ยินข้อเสนอแรกของอีกฝ่าย อย่าพูดคำว่า “โอเค” ให้พูดว่า “อืมมม” ให้เวลากับตัวเองแม้เพียงเสี้ยววินาทีแห่งความเงียบ อีกฝ่ายมีแนวโน้มที่จะพูดจาให้คุณเอนไปตามพวกเขา เพราะฉะนั้นถ่วงเวลาเพื่อพิจารณาถึงประโยชน์และเป้าหมายที่คุณตั้งไว้
33. ถามคำถาม – หากคู่เจรจาของคุณมีอาการสะดุ้งหรือปฏิกิริยาในทางลบต่อตัวเลขที่คุณปักไว้ อย่าปล่อยให้สิ่งนั้นเป็นอุปสรรคของคุณ ให้ถามคำถามปลายเปิดเพื่อให้การสนทนาดำเนินต่อไปและแสดงว่าคุณเต็มใจที่จะทำงานร่วมกับเขา เช่น “ดูเหมือนว่าคุณจะประหลาดใจ อธิบายให้ฉันฟังเพิ่มเติมได้ไหม” “งบประมาณสำหรับค่าตอบแทนตำแหน่งนี้ขึ้นอยู่กับอะไร” หรือ “ฉันจะช่วยให้คุณไปในทิศทางของฉันมากขึ้นได้อย่างไร”
34. อย่ากลัวที่จะตอบโต้ – หากคุณเจรจาขอเงินเดือนที่สูงขึ้นแล้วนายจ้างปฏิเสธ ไม่ได้หมายความว่าการเจรจาจบลงแล้ว ให้ลองกล่าวว่า “ฉันเข้าใจว่าคุณอยู่จุดไหน แต่ฉันเพียงต้องการย้ำความกระตือรือร้นของฉันสำหรับตำแหน่งและการทำงานร่วมกับคุณและทีม ฉันคิดว่าทักษะของฉันเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับตำแหน่งนี้ และมีมูลค่า 65,000 เหรียญสหรัฐ”
35. อย่าคุกคาม – พูดย้ำอีกสักครั้งว่าคุณต้องการทำงานที่นี่หรือทำงานต่อไปในองค์กรนี้กับบุคคลานี้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการรักษาบทสนทนาให้เป็นไปในเชิงบวก ไม่ว่าบทสนทนาจะไปในทิศทางไหนก็ตามอย่าขู่ว่าจะลาออกเด็ดขาดหากไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน
36. พิจารณาทางเลือกอื่นๆ – ถ้าเจ้านายของคุณไม่ยอมขยับหรือตอบรับไปในทิศทางที่คุณต้องการจริงๆ ลองเจรจาต่อรองเพื่อหาเวลาที่จะยืดหยุ่น อาจะเป็นการลาพักร้อนมากขึ่น ตำแหน่งงานที่ดีขึ้น หรือโครงการและงานที่ได้รับมอบหมาย
37. เจรจาต่อไป – การเจรจาต่อรองเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมาก มีหนังสือมากมายเกี่ยวกับเทคนิคและกลวิธีมากมายที่จะทำให้การเจรจาของคุณประสบความสำเร็จ ยิ่งคุณทำมันบ่อยเท่าไรการเจรจายิ่งเป็นเรื่องง่ายขึ้น
บทสรุป
“ถึงเวลาก้าวออกไปเริ่มการเจรจาของคุณกันแล้ว”
เรื่องของการ ต่อรองเงินเดือน ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องน่าวิตกกังวลอีกต่อไป ลองนำวิธีการทั้ง 37 วิธีนี้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อทำให้การเจรจาต่องรองครั้งถัดไปประสบความสำเร็จได้ตามในสิ่งที่เราต้องการ
Reference:
How to Negotiate Salary: 37 Tips You Need to Know
บทความแนะนำ:
Job Interview Guide 2022 – ตัวอย่างคำถามที่พบบ่อยที่สุดในการสัมภาษณ์งาน