โรคไต และไตเทียม กลายเป็นโรคที่ไม่ใช่แค่โรคประจำตัวของผู้สูงอายุอีกต่อไป เพราะในปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยโรคไตก็มีในกลุ่มที่มีอายุยังน้อย
จากตอนที่แล้ว เราได้ไปดูการทำงานของแพทย์ด่านสุดท้าย แพทย์ที่ไม่ได้จ่ายยาหรือรักษาคนเพื่อให้ฟื้น แต่รักษาสิทธิ์ในการเอาสิ่งที่ศพต้องการจะสื่อเข้าไปสู่กระบวนการยุติธรรม สิ่งที่ศพไม่มีโอกาสได้พูด แพทย์นิติเวช จะเป็นคนที่พูดมันแทนให้
มาถึงตอนนี้แอดจะพาทุกคนกลับสู่กระบวนการทำงานของโรงพยาบาลที่รักษาผู้คนให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นถึงคิวของศูนย์การรักษาที่ทุกคนคงได้ยินชื่อกันบ่อยๆ อยู่แล้วอย่าง ศูนย์ไตเทียมเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์ดูแลเรื่องไตที่ใครก็ตามที่เป็นโรคไตอยู่ ถึงกับต้องแวะเวียนกันไปทุกสัปดาห์เลยทีเดียว วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับศูนย์นี้และการทำงานในเชิงลึกกันสักหน่อย จากบทสัมภาษณ์ของ พว.ศศิธร ทัศนศาสตร์ และ พว.ณัฐฐิกา จันทนพันธ์ พยาบาลวิชาชีพงานโรคไตและไตเทียม โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
“แม้แต่คนอายุ 20 กว่าก็เข้ามาฟอกไตกันแล้ว”
ในปัจจุบันนี้มีความจริงเกี่ยวกับโรคไตที่หลายคนอาจจะไม่ทราบ ร้อยละ 17.6 ของคนไทยป่วยเป็นโรคไต คิดเป็นผู้ป่วยราว 8 ล้านคน มี 80,000 และคนเป็นไตวายระยะสุดท้าย ที่สำคัญคือมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นทุกปี ถ้าดูจากจำนวนคนไข้ที่เข้ามาฟอกไต ปกติแล้วจะไม่ค่อยเต็มแต่ละรอบจะเหลือที่ว่างตลอด แต่ตอนนี้วันจันทร์-ศุกร์ มีคนไข้เข้ามาฟอกไตเต็มทุกรอบ นอกจากนี้เมื่อก่อนโรคไตถือเป็นโรคของผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว แต่ตอนนี้จำนวนกลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคไตมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ
“ความท้าทายของเราคือ ต้องทำให้คนไข้รับฟังและเชื่อ”
โดยส่วนใหญ่แล้วคนไข้จะใช้ชีวิตปกติได้เลย ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรือต้องคุมเข้มจนเกินไป หน้าที่ของพยาบาลคือต้องหาวิธีทำอย่างไรให้คนไข้ยอมมาฟอกเลือดตรงตามที่แพทย์สั่ง จะมีบางกรณีที่คนไข้มาฟอกเลือดแค่ 2 ครั้งในสัปดาห์นั้น แต่หมอสั่งให้ฟอกเลือด 3 ครั้งต่อสัปดาห์ คนไข้หลายคนไม่อยากมาฟอกเลือด นี่จึงเป็นหน้าที่สำคัญและท้าทายมากที่จะพูดอย่างไรให้คนไข้เข้าใจ รับฟัง และยอมทำตาม วิธีแก้ที่ใช้กันก็คือการแนะนำคนไข้เกี่ยวกับผลเสียของการฟอกเลือดไม่เพียงพอ เช่น ซึมลง เหนื่อยง่าย กินไม่ได้ เบื่ออาหาร อาเจียน เป็นต้น
“หลายคนอาจจะยังยอมรับความจริงไม่ได้ กับการที่เขาเป็นโรคไตเรื้อรัง”
คนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาฟอกเลือดใหม่ๆบางคน ยังทำใจไม่ได้ และเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับความจริงว่าตัวเองเป็นโรคไตเรื้อรัง การต้องเข้ามารับการฟอกเลือด 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์จึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจและทำตาม มันกลายเป็นความทุกข์ของพวกเขา พวกเขาจึงแสดงออกในเชิงต่อต้าน ไม่ยอมทำตามในแบบที่ควรจะทำ จึงต้องหาวิธีการคุยอย่างไรให้เขาเข้าใจว่าตอนนี้เขาอยู่ในระยะนี้แล้วควรปฏิบัติตัวแบบไหนเพื่อป้องกันการแทรกซ้อนของโรค เพราะภาวะแทรกซ้อนมีสิทธิ์จะเกิดขึ้นอยู่แล้วหากไม่ได้รับการดูแลที่ดี
“ผู้ป่วยโรคไตเข้าใจทั้งหมดว่าต้องทำอะไร แต่ไม่ทำ”
นอกจากนี้ยังมีคนไข้อีกประเภทที่ได้รับการฟอกเลือดมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว พวกเขาจะบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว มีความรู้ เรียนรู้มาจากพยาบาลอย่างดีแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง และควรทำตัวอย่างไร แต่ในความเป็นจริงเขายังไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง พอพยาบาลถามว่าต้องกินยาอะไรบ้าง ก็สามารถตอบได้แต่ไม่ได้ทำจริงตามที่บอกเลย
ระดับความรุนแรงของ โรคไต
ระดับความสุนแรงของโรคไต จะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ดังต่อไปนี้
- ระยะเริ่มต้น หมออาจจะให้คุมอาหารที่สุ่มเสี่ยงการเป็นโรคไต เช่น หวานจัด เค็มจัด และการคุมโรคประจำตัวของตัวเองให้ดี
- ระยะที่ 3 หมอจะเริ่มมีการพูดคุยเกี่ยวกับการเริ่มให้เตรียมตัวว่าเราเข้าสู่กลุ่มสุ่มเสี่ยงเยอะแล้วนะ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะต้องฟอกเลือด
- ระยะที่ 5 ต้องได้รับการฟอกเลือดแล้ว ถ้ามาถึงระยะที่ 5 การฟอกเลือดจะอยู่ที่ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และในการฟอกเลือดทุก 3 เดือน จะมีการประเมินความเพียงพอในการฟอกเลือดว่า ณ จุดที่คนไข้รับบริการฟอกเลือดอยู่ พวกอุปกรณ์ที่ใช้ น้ำยา ตัวกรอง เพียงพอไหมต่อการเอาของเสียออกไป ถ้ายังไม่เพียงพอก็จำเป็นต้องเพิ่มการนัดมาฟอกเลือดเป็น 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยในการฟอกเลือดแต่ละครั้งจะใช้เวลา 4 ชั่วโมง
พฤติกรรมที่เป็นสาเหตุทำให้เป็นโรคไตได้
ส่วนมากการเป็นโรคไตมักจะเกิดจากการไม่สามารถคุมโรคประจำตัวของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นโรค โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไขมัน หรือโรคหัวใจ เมื่อไรก็ตามที่เลือดไปเลี้ยงไตได้ไม่ดี ไตก็จะเสื่อมลงเองตามอายุอยู่แล้วด้วย เพราะฉะนั้นคนไข้บางรายจะมาด้วยอาการเหนื่อย ซึมเศร้า สับสน ตัวบวมขึ้น เมื่อมาตรวจจึงพบว่าตัวเองเป็นโรคไต
“การทำงานของไตเสื่อมไปตามวัยอยู่แล้ว”
อย่างแรกเลยคือต้องทำความเข้าใจก่อนว่าถ้าเมื่อเราอายุมากขึ้น ไตมันจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว เราห้ามการเสื่อมสภาพของมันไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือทำให้มันเสื่อมลงช้าที่สุด
ถ้ามีโรคประจำตัว ควรควบคุมโรคประจำตัวให้ได้ เช่น โรคเบาหวาน ก็ควบคุมน้ำตาลให้ได้ โรคความดัน ก็ควบคุมความดันให้อยู่ในระบบปกติ ไขมันก็ควบคุมปริมาณอาหารให้ได้ หรืออย่างโรคเก๊าที่อาจจะดูเหมือนมันเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ใช่โรครุนแรงอะไร แต่มันสามารถเป็นสาเหตุทำให้ไตวายได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราควรระวังตั้งแต่เริ่มต้น
อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญคือการตรวจสุขภาพประจำปี ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เราจะได้ติดตามผลเลือดของเรา และสามารถรับประทานอาหารได้ถูกต้องตามค่าผลเลือดของเราได้อย่างถูกต้อง
สังเกตตัวเองอย่างไร?
ส่วนใหญ่ของคนเป็นโรคไต สัญญาณเตือนเลยคือโรคเบาหวาน ความดัน โรคไขมัน โรคเหล่านี้จะเป็นสัญญาณเตือนอันดับต้นๆ ถ้าคนไข้มีโรคประจำตัวเหล่านี้แล้วยังไม่รับประทานยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหารรสจัด เค็มจัด เป็นต้น พวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มสุ่มเสี่ยงทันที ลองสังเกตตัวเองดูว่าตัวเองรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าปกติหรือเปล่า ตัวบวมไหม อย่างเช่น การลองกดหน้าแข้งดูว่ามันบวมไหม หรือมีอาการคันตามร่างกายไหม
การตรวจสุขภาพของโรงพยาบาล
การตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ในตัวโปรแกรมจะมีการดูค่าการทำงานของไต แนวโน้มของเสีย การตรวจปัสสาวะเพื่อดูว่ามีอะไรที่ออกมากับปัสสาวะบ้าง จะเป็นตัวคัดกรองได้อีกระดับหนึ่ง การตรวจแบบนี้ก็จะช่วยได้ให้เรารู้ตัวก่อน
“เราจะไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งอาการมันหนักแล้ว”
โรคไตเป็นจะเป็นโรคที่แทบจะไม่แสดงอาการเลย จะมาเริ่มแสดงอาการให้เรารู้ตัวจริงๆก็ตอนที่อาการหนักแล้ว เราจึงต้องใช้การติดตามจากผลเลือด ดังนั้นหากคนไข้มีโรคประจำตัวอยู่ การคุมโรคประจำตัว การตรวจเลือดประจำเดือน ประจำปี หรือตามที่คุณหมอนัดจะช่วยคัดกรองโรคไตตรงนี้ได้มาก
บทสรุป
โรคไต เป็นสิ่งที่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาเหมือนร่างกายของเราที่จะมีรอยเหี่ยวย่นเพิ่มมากขึ้นตามตัวเลขของอายุเรา ร่างกายก็สิ่งของทั่วไปที่มีวันหมดอายุ การใช้ชีวิตของเราเป็นเพียงการใช้งานที่เราเป็นคนเลือกเองว่าเราจะถนอมการใช้เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานหรือเราจะใช้อย่างไม่สนใจว่ามันจะผุพังไปวันไหน
สำหรับคนที่เป็นโรคไตอยู่แล้ว และกำลังต้องเผชิญกับการฟอกเลือดทุกสัปดาห์ การยอมรับว่าตัวเองเป็นโรคไตไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะมันจะแย่ก็ต่อเมื่อคุณไม่ยอมรับมัน ต่อต้านการรักษามัน การฟอกเลือดเป็นการรักษาที่ถูกค้นพบขึ้นมาเพื่อใช้ในการทำให้คนไข้ได้กลับไปมีชีวิตที่ใกล้เคียงเดิมมากที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากที่จะกลับไปแข็งแรงเหมือนเดิม ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเลยตั้งแต่เริ่มต้น
“มันขึ้นอยู่กับตนเองตั้งแต่เริ่มต้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตนเอง”
“โรคไตและไตเทียม” งานที่ต้องใช้หัวใจดูแล | โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
หรือ จะเลือกรับฟังข้อมูลเพิ่มเติมในรูปแบบของ Podcast:
บทความ แนะนำ :
สำนักงานนิติเวช ห้องทำงานที่เงียบที่สุดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ติดตามชมรายการ UNMASK STORY
กับ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ได้ทุกวันเสาร์ เวลา 20:00 น.
ทาง Facebook เพจ @มนุษย์เงินเดือนพันธุ์ใหม่
และ ช่องทาง Social Media ของ The Practical