10 พฤติกรรมที่ไม่ควรทำในที่ทำงาน ที่อาจทำลายอาชีพของคุณได้ในทันที มีอะไรบ้าง? ลองมาตรวจสอบพฤติกรรมของเราดูว่าเรามีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงทำให้เรามีโอกาสตกงานบ้างหรือเปล่า ในบทความนี้ได้เลยครับ
ตอนนี้คุณได้พบกับงานในฝันของคุณแล้วหรือยัง? ความน่าเศร้าของมนุษย์เงินเดือนที่หามรุ่งหามค่ำอย่างเราก็คือพนักงานประจำเกือบครึ่งหนึ่งของโลกไม่มีความสุขในการทำงานเลย อาจเป็นเพราะไม่ใช่งานที่ชอบ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ใช่ หรือไม่ใช่เจ้านายในอุดมคติก็ตาม
นอกจากนี้ปัจจัยที่พบว่าเป็นตัวกระตุ้นความทุกข์ในที่ทำงานของพนักงานในบริษัทก็คือการลดลงของจำนวนพนักงานในบริษัท จำนวนเดือนของโบนัสที่น้อยลง และนโยบายของบริษัทที่นับวันก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ของพนักงาน ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพนักงานรุ่นมิลเลนเนียล หรือ เจนวาย เปลี่ยนงานกันมากกว่าคนในรุ่นอื่นๆ ถึง 3 เท่าตัวเลย อันที่จริงแล้วการย้ายงานก็อาจจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ถ้าหากมีเหตุผลและแผนการที่ดีพอ แต่พนักงานบางคนมักเลือกที่จะมองหางานที่สบาย และเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับงาน กล่าวคือ เลือกที่จะทำงานสบายๆ จนเผลอทำลายอาชีพการงานของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นก่อนที่ตัวคุณเองจะกลายเป็นพนักงานหนุ่มสาวที่เผลอทำลายหน้าที่การงานของตัวเอง และนี่คือ
10 พฤติกรรมที่ไม่ควรทำในที่ทำงาน ที่อาจจะทำลายอาชีพและหน้าที่การงานของคุณได้
1. มาสายสม่ำเสมอ: หนึ่งคำโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้นก็คือคำว่า “กำลังไป” มันถือเป็นคำหยาบคายมาก หากคุณพูดแบบนี้กับเพื่อน ครอบครัว หรือใครสักคนที่มีนัดกับคุณในวันนี้ มันคือการบอกให้พวกเขาไปรออย่างเปล่าประโยชน์และเสียเวลาเพราะความจริงแล้วคุณอาจจะเพิ่งจะไปอาบน้ำ กำลังจะแต่งหน้า หรือเพิ่งเริ่มให้อาหารสัตว์เลี้ยงที่บ้านด้วยซ้ำ สำหรับการทำงานแล้ว การทำเช่นนี้ ถือเป็นอันตรายต่อหน้าที่การงาน ความสัมพันธ์ และชื่อเสียงของคุณอย่างแน่นอน การไปสาย ถือเป็นการดูถูกการไปทำงาน การประชุม และงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายได้ และอาจะทำให้มุมมองของคนอื่นๆ ที่มีต่อตัวคุณมีในแง่ลบได้ง่ายมากสำหรับกรณีนี้
2. แก้ตัวมากกว่าที่จะแก้ไข:
อย่างที่โบราณว่า “คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว” คุณสามารถอธิบายหรือมีข้อแก้ตัวได้มากมายเพื่อเปลี่ยนให้ความผิดของคุณกลายเป็นถูกหรือเบาลงได้ แต่การมีข้อแก้ตัวเสมอสำหรับทุกพฤติกรรมที่ไม่ดีของคุณ จะทำลายความน่าเชื่อถือของคุณ และทำให้เพื่อนร่วมงานคิดว่าพวกเขาไม่สามารถไว้วางใจให้คุณทำในสิ่งที่สำคัญหรือต้องส่งมอบงานสำคัญตรงต่อเวลาได้อีก พนักงานหลายคนใช้เวลามากมายกับการหาข้อแก้ตัวในสิ่งที่ผิดพลาด ซึ่งใช้เวลาไปมากกว่าการพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดเสียอีก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพวกเขาควรมุ่งเน้นไปที่วิธีการแก้ไขเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างถูกต้องซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าซะด้วยซ้ำ
3. เอาตัวเองรอด: การเอาตัวรอด ถือเป็นทักษะที่สำคัญมากในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ในที่ทำงานคุณต้องติดต่อกับผู้คนมากมาย การทำงานร่วมกันระหว่างแผนกหรือการติดต่อสื่อสารที่ต้องขอความช่วยหรือมอบความเหลือให้กันและกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่หากงานนั้นไปไม่ถึงเป้าหมายแล้วจบลงด้วยความหายนะ การโยนความผิดให้คนอื่นถือเป็นการเอาตัวรอดทางหนึ่งใช่ไหม? แต่คิดว่าคุณจะรอดไปได้กี่ครั้ง? การเอาตัวรอดด้วยการโยนความผิดให้คนอื่นทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง และการทำแบบนี้ก็แสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพที่คุณไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย นอกจากนี้คนกลุ่มนี้ที่ลงเรือร่วมกับคุณและถูกคุณทิ้งกลางทางเขาจะจดจำ ทำให้เกิดความเกลียดชัง และบอกต่อถึงพฤติกรรมแย่ๆ ที่คุณทำกับพวกเขาเอาไว้ คุณคิดว่าคุ้มหรือเปล่ากับการเอาตัวรอดแบบนี้
4. กดคนอื่นให้ต่ำ แล้วทำให้ตัวเองดูสูงขึ้น: การทำงานไม่ใช่การแข่งขันมวยปล้ำนิ้ว เมื่อคุณเริ่มต้นกดคนอื่นลงอย่างตั้งใจ ไม่ได้หมายความว่าคุณดึงตัวเองให้อยู่สูงกว่าพวกเขาได้ ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนร่วมงานในแผนกของคุณได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ต่อหน้าเขาคุณแสดงความยินดี ชื่นชมสารพัด แต่ลับหลังคุณกลับพูดกับคนอื่นว่าเขาไม่สมควรได้รับโอกาสนี้เลย การทำแบบนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณดูน่าสมเพชเท่านั้น คุณยังดูไม่คู่ควรกับความไว้วางใจที่จะได้รับจากเพื่อนร่วมงานอีกด้วย การนินทาเป็นกิจกรรมในที่ทำงานที่พบได้บ่อย แต่มันก็เป็นเหมือนมะเร็งของบริษัทและไม่ดีต่อสุขภาพของผู้ดำเนินกิจกรรมเอาเสียเลย
5. ชอบจับปลาสองมือ สุดท้ายคว้าน้ำเหลว: มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการทำงานหนักกับการทำงานอย่างชาญฉลาด เมื่อคุณพยายามทุกทุกอย่างพร้อมกัน และทุ่มเทแรงกายแรงใจของคุณลงไป หมายถึงการที่คุณกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อเป้าหมายนั้น แต่การทำแบบนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ตรงที่การทำงานอย่างหนักหลายอย่าง อาจจะจบลงด้วยการที่คุณคว้าน้ำเหลว ไม่ได้อะไรกลับมาเลย หรืองานที่ส่งอาจจะยังไม่ใช่งานที่ดีที่สุดของคุณ เพราะคุณทำงานหลายอย่างไปพร้อมกัน ดังนั้นวิธีที่ดีกว่าคือการจดจ่อไปที่งานที่สำคัญที่สุด ลำดับความสำคัญแล้วจัดตารางเวลาสำหรับงานเหล่านั้น ทำให้เสร็จไปทีละงาน จะทำให้งานคุณออกมาอย่างมีคุณภาพจะดีที่สุด
6. เน้นเรื่องส่วนตัวมากจนรบกวนเวลางาน: การรับโทรศัพท์ด้วยเรื่องส่วนตัวเป็นครั้งคราว เลือกซื้อของออนไลน์บ้างในช่วงเวลาว่าง หรือ การพิมพ์แชทคุยกับคนในครอบครัวเรื่องอาหารเย็นก็อาจจะยังเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ เมื่อคุณว่างหรือใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการทำเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลย แต่หากชีวิตส่วนตัวของคุณเริ่มควบคุมไม่ได้ และมารบกวนการทำงานของคุณจนบ่อยครั้งเกินไป สำหรับบางคนอาจถึงขั้นที่แยกเวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพ การไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานและไม่เห็นถึงความสำคัญในเวลางานเลยแม้แต่น้อย
7. ชอบย้ายงานบ่อย: นี่คืองานที่ 3 ของคุณในปีนี้หรือเปล่า? ไม่เป็นไรเลยหากคุณยังอยู่ในช่วงทดสอบตัวเอง เพื่อค้นหาเส้นทางที่ใช่ หรือหมดไฟกับงานที่เก่า เพราะทุกคนย่อมมีความหย่อนยานในการทำงานเป็นเรื่องปกติ คงไม่มีใครที่จะสามารถมีไฟในการทำงานได้ตลอด แต่เมื่อคุณเริ่มต้นทำงานในที่ทำงานใหม่แล้ว นานแค่ไหนกันกว่าที่จะมีความคิดอยากเปลี่ยนงานของคุณจะเริ่มขึ้น อาจเป็นเรื่องยากที่จะหาเส้นทางอาชีพของคุณ แต่การโยกย้ายงานบ่อยเกินไป อาจจะมีโอกาสที่จะทำให้คุณพลาดโอกาสระยะยาวจากการทำงานงานของคุณได้ และการเติบโตของคุณอาจโดนจำกัดด้วยความความไม่น่าเชื่อถือ เพราะเจ้านายอาจมองว่าคุณยังขาดความมุ่งมั่นในการทำงานอยู่ก็เป็นได้
8. พูดบรรยายสรรพคุณเกินจริง: อย่าพูดในสิ่งที่คุณทำไม่ได้ อย่าสัญญาหากคุณไม่สามารถรักษาได้ การที่คุณบอกว่าคุณทำได้แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาในทางตรงกันข้ามไม่เพียงแต่จะทำให้นายจ้างและเพื่อนร่วมงานหมดใจในตัวคุณเท่านั้น แต่คุณยังจะถูกมองว่าเป็นพนักงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่น่าเชื่อถืออีกด้วย ดังนั้นหากคุณอยากประสบความสำเร็จในการทำงาน อย่าแบกงานทั้งหมดมาทำคนเดียวเพื่อเอาหน้า หากคุณไม่สามารถจัดการงานเหล่านั้นได้จริงๆ
9. แยกตัวออกจากโลกความเป็นจริง: แม้ว่าเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียจะมีประโยชน์มากในการทำงาน แต่คุณยังต้องเรียนรู้วิธีแยกชีวิตจริงออกจากโลกออนไลน์เหล่านั้น เพราะหน้าที่การงานที่เป็นทางการของคุณเป็นของจริงไม่ใช่เสมือนจริง เพราะฉะนั้นการปล่อยให้ตัวเองท่องเว็บและใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์หลายๆ ชั่วโมง คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน กว่าที่คุณจะรู้ตัวว่าคุณดูวิดีโอบน Youtube มากเกินไปก็เป็นตอนที่คุณเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นรายการสิ่งที่ต้องทำยาวเหยียด นอกจากนี้การที่คุณอยู่ในโลกเสมือนจริงและมีเพื่อนในโลกเสมือนจริงนานเกินไป คุณจะเริ่มแยกตัวเองออกจากที่ทำงานและคุณจะขาดสังคมในที่ทำงานในที่สุด
10. การโกหกแทนการเป็นเจ้าของ: ความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่บริษัทพยายามมองหาจากพนักงานที่พวกเขาจ่ายเงินเดือนให้ และความซื่อสัตย์ยังจำเป็นอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมการทำงานด้วย แต่เมื่อใดที่คุณทำผิดพลาดและเริ่มโกหกแทนที่จะยอมรับผิด หากไม่มีใครจับได้คุณก็รอดไป แต่ถ้ามีคนจับได้ ความน่าเชื่อและความน่าเคารพของคุณจะถูกลดทอนลง การโกหกมีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงเท่านั้น
บทสรุป
คุณอาจเป็นพนักงานที่เคยทำ 1 ใน 10 ข้อด้านบนมาก่อน หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งด้วยซ้ำ ซึ่งการกระทำเหล่านั้นคุณมีเหตุผลรองรับอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นการพยายามรักษาอาชีพ รักษาภาพลักษณ์ การพยายามโดดเด่นกว่าคนอื่น หรือเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ แต่สิ่งที่คุณไม่รู้ตัวเลยคือการกระทำเหล่านี้ต่างหากที่เป็นตัวทำลายทุกอย่างที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ภาพลักษณ์ หรือความก้าวหน้าในสายอาชีพที่คุณเลือก
สิ่งเดียวที่ถูกต้องคือเมื่อคุณพลาดทำ 10 พฤติกรรมที่ไม่ควรทำในที่ทำงาน เหล่านี้ไป คุณจะโดดเด่นอย่างแน่นอน ทุกแผนกจะรู้เรื่องคุณ เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือซ้ำร้ายอาจจะพนักงานจากบริษัทอื่นที่มาติดต่องานที่บริษัทคุณด้วย จำไว้ว่าแค่การมีทักษะและความสามารถที่เหมาะสมไม่เพียงพอต่อความมั่นคงในการทำงาน เมื่อคุณได้งานคุณต้องรู้วิธีรักษามันไว้ด้วย
“อย่าทำลายอาชีพของตัวเอง ด้วยการพยายามรักษามันไว้ในทางที่ผิด”
Reference:
10 Things That Could Ruin Your Career
บทความแนะนำ: