Work-Life Balance เป็น แนวคิดที่เกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการที่ต้องทำงานหนักจนเกินไป
ในสังคมการทำงานเราประกอบไปด้วยคนหลากหลายประเภท ในงานเดียวกันบางคนใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว และบางคนใช้เวลาเป็นวันเพื่อให้ได้งานที่มีผลลัพธ์เหมือนกันออกมา หนึ่งในวัฒนธรรมการทำงานที่เกิดขึ้นจริงก็คือบางบริษัทหรือหัวหน้าบางประเภทใช้ “เวลาทำงาน” ของพนักงานเป็นตัวชี้วัดความขยัน ความตั้งใจ และความทุ่มเทที่พนักงานมีต่อบริษัท นั่นก็หมายความว่า คนที่ทำงานได้เสร็จเรียบร้อยในหนึ่งชั่วโมงก็ไม่ใช่พนักงานที่ควรค่ากับการเก็บไว้ใช่ไหม?
พนักงานมากมายกำลังใช้ชีวิตในโลกที่แสนวุ่นวายและยังต้องดิ้นรนในการรักษาสมดุลชีวิตและการทำงานให้ตัวเองสามารถรอดไปได้ในแต่ละวัน แต่รู้ไหมว่า สิ่งที่เราเข้าใจกันในทุกวันนี้เกี่ยวกับการทำงานมันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดพลาดกันไปหมด เพราะคนที่เป็นมืออาชีพเขาไม่ใช่คนที่ทำงานตลอดเวลา และเราได้รวบรวม 10 ความเชื่อผิดๆ ที่หลอกให้พวกเราทำงานให้เยอะเข้าไว้ แล้วปล่อยให้เราล้มเหลวจากการไม่รู้จักการรักษาสมดุลชีวิตและการทำงานให้เป็นดังนี้
1. เรื่องของการรักษาสมดุลชีวิตและมันไม่ใช่การหาร 2 ให้ลงตัว
นี่คือเรื่องเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน เพราะความจริงคือไม่มีความสมดุลที่แท้จริงระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตอยู่แล้ว คงจะดีถ้าเราแบ่งเวลางานและใช้ชีวิตให้เท่ากันได้อย่างเป๊ะๆ ในบทบาทของคนทำงาน ต่อให้คุณจะว่างแค่ไหน เราก็จะใช้เวลาตรงนั้นแอบคิดถึงงานของเราหรือปัญหาที่เกี่ยวกับงานอยู่ดี
“มันไม่เกี่ยวกับการแบ่งส่วนในชีวิตของเรา แต่เป็นการพิจารณาในแง่ของทั้งงานและการใช้ชีวิต”
Meeta Vengapally ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Garnysh ได้อธิบายเอาไว่ว่า เรื่องของการรักษาสมดุลชีวิตและการทำงาน มันคือการรวมเข้าด้วยกันโดยอาศัยการบูรณาการ ความสมดุลเป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนที่เข้มงวด หากเราได้มีความสุขในการใช้ชีวิตนอกเวลางาน เราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีพลังในการทำงานมากขึ้น และถ้าเราทำงานได้สำเร็จ หลังเลิกงานเราก็จะอยู่บ้านได้อย่างพึงพอใจในตัวเองมากขึ้น
2. เราจะหั่นเวลาสำหรับเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวให้เท่ากันเหมือนพิซซ่าไม่ได้หรอก
การแบ่งสัดส่วนเวลาในการใช้ชีวิตเป็นความเชื่อที่ผิดที่คนเรามักจะเรียกกันว่า “เคล็ดลับ” ยกตัวอย่างเช่น การแบ่งเวลาชีวิตของเราให้กับการทำงาน 50% และอีก 50% คือเวลาสำหรับการใช้ชีวิตในรูปแบบที่ชอบ หรือการใช้เคล็ดลับ 8 8 8 ซึ่งก็คือการทำงาน 8 ชั่วโมง นอนหลับ 8 ชั่วโมงและเข้าสู่โหมดพักผ่อน ทำกิจกรรมที่ชอบ มีส่วนรวมกับสังคมอีก 8 ชั่วโมง เป็นต้น
“การจัดสรรเวลาที่มีคุณภาพ เกิดจากการจัดลำดับความสำคัญ ไม่ใช่การจัดสรรตามตารางเวลา”
เรื่องของเรื่องก็คือ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะแบ่งชีวิตได้เป็นเวลาที่เท่ากันเป๊ะๆ แบบนั้น เราจะได้พบกับวันที่ต้องทำงาน 10 ชั่วโมง หรือ วันที่เราต้องมีเรื่องอื่นแทรกเข้ามาในวันที่เราทำงานไม่ถึง 8 ชั่วโมง แทนที่จะเราจะบังคับให้ตัวเองจัดสรรเวลาตามตารางอย่างเข้มงวด เราควรเลือกใช้ชีวิตตามลำดับความสำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน บางวันเราอาจจะยอมสละเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกับครอบครัวเพื่อทำงาน แต่เราได้มีวันหยุดที่จะสามารถใช้เวลาร่วมกับพวกเขาได้ทั้งวันเป็นการชดเชย โดยที่เราใช้เวลาร่วมกับพวกเขาได้โดยไม่ต้องมานั่งกังวลหรือเป็นห่วงกับเรื่องงาน
3. คนฉลาดไม่ได้คว้าทุกอย่าง แต่พวกเขาคว้าแค่สิ่งที่จำเป็น
แม้เราจะสร้างตารางเวลาในหนึ่งวันที่ช่วยให้เราได้ออกกำลังกายในตอนเช้า ใช้เวลากับครอบครัว ต่อด้วยการปั่นงานให้เสร็จลุล่วงไปแล้วจึงพักผ่อน เราก็ยังสามารถสูญเสียสิ่งที่ต้องทำบางอย่างในรายการของสิ่งที่ต้องทำไปได้อยู่ดี
“ความจริงก็คือ การสร้างสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันเดินทางเป็นกลุ่ม ฉันกลับบ้านไม่ทันอาหารเย็นเป็นประจำ วันเสาร์เป็นสิ่งที่ใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด”
Chris O’Neill อดีต CEO ของ Evernote ได้เล่าวิธีการทำงานของเขาไว้ใน New York Times ว่าอย่าหลงคิดไปว่าเราจะสามารถมีทุกอย่างที่เราต้องการได้ หากเราพยายามหรือทำทุกอย่างตามที่เราจดรายการไว้ได้ บางครั้งเราต้องละทิ้งบางสิ่งในขณะที่ไล่ตามเป้าหมายและความฝันของเราเอง ยิ่งเราตระหนักเรื่องนี้ได้เร็วมากเท่าไร เราก็จะสามารถตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตของเราได้เร็วขึ้นเท่านั้น
4. การบริหารเวลาคงเป็นเรื่องง่ายถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ต
หากทั้งหมดที่ต้องทำก็คือการบริหารเวลาให้ดี เราก็ต้องอย่าลืมว่าเทคนิคการบริหารเวลาให้สำเร็จส่วนใหญ่ถูกคิดค้นขึ้นมาก่อนที่โลกจะเริ่มต้นการออนไลน์ 24 ชั่วโมงอย่างทุกวันนี้ ความจริงเกี่ยวกับเจ้าของธุรกิจก็คือ เราไม่สามารถออกจากตารางงานได้อย่างสมบูรณ์หรอก แต่เรายังสามารถเลือกวิธีที่เราจะสามารถใช้พลังไปกับการทำงานที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมได้
5. เทคโนโลยีไม่ได้ทำให้ 1 วันมี 25 ชั่วโมง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกสบายในชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่ามันช่วยเพิ่มเวลาให้กับเราได้ 1 วันยังคงมี 24 ชั่วโมง แม้เราจะสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อจัดการกับคำถามเกี่ยวกับการบริการลูกค้าด้วย AI ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปถึงบริษัท แต่เราก็ยังคงต้องโต้ตอบคำถามเหล่านั้นเป็นการส่วนตัวและทำงานให้มีประสิทธิผลด้วยตัวของเราเองแม้จะอยู่ที่บ้านก็ตาม พูดได้ว่าเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยแต่มันจะไม่ทำทุกอย่างอย่างแท้จริง เรายังคงต้องใช้ความพยายามเล็กน้อยเพื่อทำมันให้สำเร็จอยู่ดี
6. รายการของสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่รายการที่สำคัญที่สุดเสมอไป
แม้ว่าพนักงานจะมีเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งสำคัญที่สุดจะอยู่อันดับต้นๆ ของรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันของพวกเขาอยู่ดี
“การได้รับการยอมรับในการทำงานหนัก และเข้าใจความต้องการของคนในทีมอย่างแท้จริง คือสิ่งที่สำคัญกว่าความสมดุล”
สำหรับคนส่วนใหญ่พวกเขาจะทุ่มเทให้กับงานที่มีความหมายต่อพวกเขา หรือทำให้พวกเขารู้สึกมีความหมาย พวกเขาต้องการการยอมรับและต้องการทำงานเพื่อวัฒนธรรมที่เอาใจใส่ ความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานเป็นทีมแต่ค้นหาว่าทีมของเรารู้ตัวว่าพวกเขาเหมาะที่จะทำอะไรเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า
7. คนตื่นเช้าไม่ใช่คนขยันเสมอไป
เราอาจจะเลือกที่จะตื่นนอนในเวลาตี 5 เพราะคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ทำกัน แนวคิดนี้เริ่มจากการตื่นเช้าและสดใส เราจะมีเวลาในการทำสิ่งต่างๆให้เสร็จ และผลลัพธ์คือเรายังเหลือเวลาที่จะไปพักผ่อนหรือเพลิดเพลินกับงานอดิเรกที่คุณพอใจด้วย
“หากเราตื่นตัวและมีสมาธิจดจ่อช่วงเวลา 10.00 น. มากเป็นพิเศษ การตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 4 ก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นกับเราเลย”
แนวคิดการตื่นตี 5 ใช้ไม่ได้กับทุกคน บางคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในตอนกลางคืน นอกจากนี้ ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เรากำลังเพิ่มชั่วโมงทำงานให้กับแต่ละวันของเรา แม้อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่นั่นก็ไม่ดีสำหรับการทำงานในระยะยาวที่เราจะเผาผลาญพลังงานออกไปเกินความจำเป็น กุญแจสำคัญคือ ค้นหาช่วงเวลาที่เราสามารถทำงานได้ดีให้เจอดีกว่า
8. ทำงานนอกเวลางาน ไม่ได้แปลว่าทำงานในเวลางานไม่เสร็จ
บางทีเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เราถกเถียงกันเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน เรื่องนี้ก็คือเราต้องไม่ทำงานนอกเวลางาน แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจแล้ว บางครั้งเราก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจของเราในช่วงวันหยุดหรือสละเวลาที่จะได้อยู่กับครอบครัวทิ้งไปเพื่อออกไปทำงาน และพนักงานบางคนก็เพลิดเพลินไปกับการทำงานให้เสร็จในที่ทำงานโดยไม่สามารถปิดคอมพิวเตอร์ของพวกเขาลงได้จนกว่ามันจะเสร็จ การมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบไม่ได้หมายถึงการยึดติดกับขอบเขตที่เข้มงวดเสมอไป เมื่อไม่มีอะไรที่เราอยากทำมากกว่าเล่นเกมกระดานกับครอบครัว ก็อย่ารู้สึกผิดกับการทำงานในช่วงเวลานั้น
9. ทำงานน้อยไม่ได้ช่วยเพิ่มความสุข
เพียงเพราะเราสามารถทำงานทั้งหมดของเราให้เสร็จได้ภายใน 20 ชั่วโมง ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุข กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันไม่เกี่ยวกับว่าเราทำงานหรือทำสิ่งที่เรารักกี่ชั่วโมง แต่มันเกี่ยวกับคุณภาพของการใช้เวลาของเราต่างหาก
10. ถ้าทุกอย่างมีกำหนดการ เราจะพบกับความสุขตามธรรมชาติได้อย่างไร?
งานและการนัดหมายที่สำคัญมักจะอยู่ในรายการสิ่งที่ต้องทำเสมอ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเราไม่ได้จัดสิ่งที่สำคัญกับชีวิตเราทั้งหมดลงในรายการ เพราะรายการที่มีแต่งานและการนัดหมายมันไม่สมจริงและเพิ่มความเครียดให้กับชีวิตที่วุ่นวายอยู่แล้ว
“เราจะพบว่าผู้คนมีความสุขมากขึ้น เมื่อมีกิจกรรมยามว่างเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”
ดังนั้นในขณะที่เราควรใช้ปฏิทินเพื่อจัดระเบียบชีวิต อย่าหักโหมจนเกินไป เว้นที่ว่างไว้เพื่อให้คุณสามารถดื่มกาแฟกับเพื่อนหรือนั่งพักผ่อนและทำกิจกรรมในแต่ละวันบ้าง
ในโลกนี้ไม่มีสูตรสำเร็จของ Work-Life Balance และ ไม่มีใครสามารถบอกได้ด้วยว่าเราต้องทำงานกี่ชั่วโมง? พักผ่อนกี่ชั่วโมง? หรือมีเวลาให้ครอบครัวกี่ชั่วโมง? เราถึงจะสามารถรักษาสมดุลชีวิตและการทำงานที่ดีเยี่ยมได้ คนที่รู้สูตรการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่เหมาะสมกับเราดีที่สุดก็คือ ตัวเราเอง และขั้นตอนต่อไปนี้จะเป็นขั้นตอนการหาสูตร Work-Life Balance ในแบบฉบับของเราเอง
สูตรการหา Work-Life Balance ในแบบฉบับของเราเอง
1. ลองหยุดชั่วคราวและทำแบบเดิมซ้ำๆ จนมันกลายเป็นกิจวัตร
ถอยหลังมาสักก้าวแล้วลองถามตัวเองดูว่า…
- อะไรทำให้เรากำลังเครียด สูญเสียการควบคุม หรือทำให้รู้สึกแย่?
- สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราส่งผลต่อการทำงานหรือการมีส่วนร่วมในการทำงานของเราอย่างไรบ้าง?
- มันส่งผลขนาดไหนต่อชีวิตนอกเวลางานของเรา? เราจัดลำดับความสำคัญอย่างไร?
- เราสูญเสียอะไรไปบ้าง?
- มีอะไรหายไปจากชีวิตของแล้วบ้าง?
หลังจากที่เราได้หยุดแล้วลองถามตัวเองด้วยความถามพวกนี้ เราจะเริ่มจัดการกับมันได้เอง แน่นอนว่าเหล่ามืออาชีพทั้งหลายต้องเคยพาตัวเองเข้าสู่ชีวิตที่ยุ่งเหยิง หลายคนในพวกเขาอธิบายว่าพวกเขาไม่มีเวลาหรือไม่มีแม้แต่เวลาที่จะทบทวนตัวเองด้วยซ้ำ พวกเขามักถูกกระตุ้นความตระหนักด้วยเหตุกาณ์สำคัญของชีวิต อย่างเช่น การคลอดบุตร การพบว่าตัวเองไม่มีเวลาให้ลูกหรือครอบครัว การสูญเสียชีวิตของผู้เป็นที่รัก เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกและทำให้พวกเขาสามารถหยุดพักและคิดใหม่เกี่ยวกับการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานเสียใหม่
2.ให้ความสนใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง
เมื่อเกิดสถานการณ์ที่เพิ่มระดับความความตระหนักในตัวเราให้สูงขึ้น เราจะเริ่มถามตัวเองถึงความรู้สึกที่แท้จริงภายใน
“ฉันรู้สึกมีพลัง สุขสมหวัง พอใจในชีวิตหรือไม่? หรือ ฉันกำลังรู้สึกโกรธ ขุ่นเคือง หรือเศร้าหมองอยู่หรือเปล่า?”
การตัดสินใจลำดับความสำคัญสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของเราไปข้างหน้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือสิ่งที่ถูกสะท้อนออกมาทางอารมณ์ มันคือความสามารถในการรับรู้สถานการณ์ที่แท้จริง ซึ่งการตระหนักรู้ในอารมณ์นี้เองที่จะช่วยให้เราหาทางเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อมาสู่สมดุลชีวิตและการทำงานได้
3. จัดลำดับความสำคัญใหม่
การเพิ่มการรับรู้ทางปัญญาและอารมณ์ช่วยให้เรามีเครื่องมือที่จำเป็นในการนำสิ่งต่างๆ มาสู่มุมมองและวิธีการในการจัดลำดับความสำคัญสิ่งต่างๆของเรา ด้วยการเริ่มต้นลองถามตัวเองว่า
“เราเต็มใจจะโยนอะไรทิ้งไป และเราสามารถทิ้งมันได้นานแค่ไหน?
- ถ้าเราให้ความสำคัญกับงานมากกว่าครอบครัว ทำไมเราถึงจัดลำดับความสำคัญในชีวิตไว้แบบนั้น?
- หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงหรือเปล่า?
- เคยเสียใจอะไรจากการจัดลำดับความสำคัญแบบเดิมๆ บ้าง?
- และหากยังเดินต่อไปในรูปแบบเดิมๆ เราจะเสียใจไหม?
4. พิจารณาทางเลือกของคุณ
ก่อนที่จะเข้าสู่การแก้ปัญหา เราต้องไตร่ตรองถึงแง่มุมต่างๆ ของงานและชีวิตที่อาจแตกต่างออกไปเสียก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับลำดับความสำคัญของเรามากขึ้น ด้วยการเริ่มต้นลองถามตัวเองว่า
- มีองค์ประกอบของงานที่เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?
- คุณต้องการใช้เวลากับครอบครัวหรืองานอดิเรกมากแค่ไหน?
5. เริ่มการเปลี่ยนแปลง
สุดท้าย จากการลำดับความสำคัญอย่างรอบคอบก็ถึงเวลาลงมือทำ หรือเรียกได้ว่าสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง เช่น เริ่มต้นบทบาทใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้เวลากับงานน้อยลง เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน กำหนดขอบเขตในการทำงาน กล้าที่จะปฏิเสธงานบางงาน แม้เราจะกดดันจากการทำแบบนั้นมากก็ตาม มีชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เป็นต้น
บทสรุป
แม้จะมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการทำงานเป็นเวลานานอาจเป็นอันตรายต่อทั้งพนักงานและนายจ้าง แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังคงพยายามเอาชนะความจริงข้อนี้และส่งเสริมทัศนคติที่ฝังรากลึกของพวกเขาเกี่ยวกับชั่วโมงทำงาน เราต้องปลดปล่อยตัวเองจากรูปแบบการทำงานที่ไม่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้ เข้าถึงสมดุลชีวิตและการทำงานที่ยั่งยืนและคุ้มค่ามากขึ้น
สิ่งสำคัญที่เราอาจจะต้องจำเอาไว้เลยก็คือ 5 ขั้นตอนด้านบนที่ช่วยให้เรามี Work-Life Balance ที่ดี ไม่ใช่กิจกรรมที่ทำเพียงครั้งเดียวก็สำเร็จ แต่เป็นวัฏจักรที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมการทำงานที่ยาวนาน หรือยึดติดกับการวัดประสิทธิภาพการทำงานจากชั่วโมงงาน จากงานวิจัยสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลย คือผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างแท้จริง พวกเขาสำรวจอารมณ์ของตัวเอง เริ่มลำดับความสำคัญเสียใหม่ ประเมินทางเลือก และทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดชีวิตของพวกเขาและการทำงานเพื่อให้เกิดสมดุลขึ้นในท้ายที่สุด
References:
Work-Life Balance Is a Cycle, Not an Achievement
10 Myths About Work-Life Balance and What to Do Instead
บทความแนะนำ:
Burnout Syndrome สัญญาณที่กำลังบอกกับเราว่า เรากำลังเข้าสู่ภาวะหมดไฟในการทำงานไปเรียบร้อยแล้ว
Burnout ปัญหาใหญ่ องค์กรต้องทำอย่างไรเมื่อพนักงานหมดไฟในการทำงาน?