
Attitude Is Everything เพราะเรื่องของทัศนคติ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกส่ิงที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา พฤติกรรมของเราที่จะกระทำออกไป และมีผลต่อเราในอนาคตด้วย
การกระทำ การพูดจา สีหน้า และแววตา ทั้งหมดเป็นสิ่งที่แสดงถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของเรา สำหรับบางคนอาจจะสามารถเปิดเผยได้อย่างตรงไปตรงมา เช่น รู้สึกดีใจ ก็แสดงความดีใจออกมาทั้งทางสีหน้า และ น้ำเสียง หรือ บางคนก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้แล้วแสดงออกมาในทางตรงกันข้าม เช่น ไม่พอใจ โกรธ แต่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว หรือ สีหน้าออกมาให้เห็นว่ากำลังโกรธ หรือ โมโหอยู่
พฤติกรรมเหล่านี้มีผลมาจากสิ่งที่เราซ่อนเอาไว้ นั่นก็คือทัศนคติที่แท้จริงของตัวเรา สิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราคิด และเราใช้ทัศนคติเป็นปัจจัยในการตัดสินใจในการลงมือทำเรื่องต่างๆ กลายเป็นพฤติกรรมที่เราแสดงออกมาให้คนรอบข้างเห็นนั่นเอง เพราะเหตุนี้เอง ทัศนคติจึงเป็นทุกอย่างของเรานั่นเอง

Attitude Is Everything: Change Your Attitude … Change Your Life! หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Jeff Keller ทนายความที่ตัดสินใจลาออกหลังจากอาชีพทนายของตนเองหลังจากทำงานมาแล้วเข้าปีที่ 10 เขาหันมาจดจ่อและให้ความสำคัญกับการพูดสร้างแรงบันดาลใจแบบ 24 ชั่วโมง เอาเข้าจริงมันกลายเป็นเรื่องน่าตกใจมากสำหรับคนที่รู้จักเขาในบทบาทของทนาย แต่มันเป็นไปแล้ว แถมเขายังค้นพบความลับของการมีทัศนคติที่ดีอีกด้วย ซึ่งหนังสือเล่มนี้นี่แหละ คือหนังสือที่เขาเขียนความลับนั้นเอาไว้
“การเปลี่ยนแปลงมันน่ากลัวในตอนเริ่มต้น แต่มันเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้คุณทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะการเปลี่ยนแปลงให้ได้”
เพราะชีวิตคนเราเต็มไปด้วยช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ตั้งแต่เรื่องงานตลอดจนเรื่องส่วนตัว เช่น เมนูข้าวกลางวัน เราจะเลือกกินอะไรดี? มันจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทันที หากเราต้องตัดสินใจในเรื่องที่เราไม่รู้จักและไม่เคยเจอ ความกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก ถือเป็นทัศนคติที่แย่อย่างหนึ่งเพราะมันสอนให้เรากลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว เพราะทัศนคติแบบนั้นไม่ต่างอะไรจากรถยางแบนที่ทำให้เราขับไปไหนไม่ได้ จนกระทั่งเราต้องเปลี่ยนยางเส้นนั้น หากเราไม่ได้เป็นแบบนี้ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย โชคดีสำหรับคนที่ไม่ได้มีทัศนคติแบบนี้ เพราะการมีทัศนคติที่ดี พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เราจะไม่ได้มีแค่ยางรถที่ดี แต่เราจะมีรถที่วิ่งเร็วเหมือนวิ่งบนทางด่วนเลยทีเดียว
“คุณควบคุมสถานการณ์ที่ต้องเจอไม่ได้ แต่คุณควบคุมความคิดตัวเองได้”
ทัศนคติเป็นเหมือนฟิลเตอร์ที่เราใส่ให้กับสิ่งที่เราได้ประสบพบเจอ และเก็บนำมาคิด เหมือนเวลาเราเลือกใช้ฟิลเตอร์ใน Instagram เป็นสีชมพู เป็นแสงสว่างมากขึ้น หรือบางคนก็เลือกสีดำไปเลย ทุกคนไม่ได้มองเห็นโลกเหมือนกันหรือในแบบเดียวกัน เราเปลี่ยนให้โลกเป็นทรงเหลี่ยมไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนความคิดตัวเองได้ ต่อให้เรามองเห็นคนคนเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราคิดเกี่ยวกับคนตรงหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
“การมีประสบการณ์ที่แย่ในอดีต จึงไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับการมีทัศนคติที่แย่ในปัจจุบัน”
ชีวิตเราถูกเติมเต็มด้วยความปรารถนาซึ่งเป็นความคิดเชิงบวก แต่เมื่อเวลาผ่านไปส่ิงเหล่านี้ มักจะถูกลบด้วยการวิจารณ์ การปฏิเสธ ความผิดหวัง และความสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเราปล่อยให้ทัศนคติแย่ๆ อยู่กับเรานานมากเท่าไร มันก็ยิ่งกัดกินเราไปได้มากเท่านั้น โลกใบนี้มีแสงสีที่แตกต่างกันไป ทัศนคติเป็นเหมือนหน้าต่างที่ทำให้เรามองผ่านไปยังโลกภายนอก ไม่มีใครเช็ดหน้าต่างให้เราได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเรา การมีประสบการณ์ที่แย่ในอดีต จึงไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับการมีทัศนคติที่แย่ในปัจจุบัน
“คุณต้องทำให้การคิดบวก กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน”
นักเขียน นักปรัชญา และผู้นำของศาสนาหลายคนเห็นตรงกันว่าความคิดเป็นสิ่งที่ตัดสินการกระทำ ยกตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ หากเรามีความคิดว่าความสัมพันธ์นี้ยังราบรื่นและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปถึงแม้จะคบกันมานานถึง 10 ปี ความสัมพันธ์ของเราจะยังดีเหมือนเดิมโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ความจริงก็คือ ความคิดเมื่อสัก 5 นาทีที่แล้ว จะเป็นตัวตัดสินปัจจุบันของเรา และความคิดในปัจจุบันของเรา จะตัดสินอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น
“หลังจากสร้างจินตนาการ คุณจำเป็นต้องเพิ่มมันลงในงานของคุณเพื่อให้มันกลายเป็นความจริง”
Celine Dion นักร้องชื่อดังระดับโลก เธอเล่าว่า เธอคิดภาพตัวเองประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ดังนั้นเราเองก็ทำได้ ลองมองหาตำแหน่งที่เราสบายใจ แล้วลองคิดภาพของตัวเองในเวอร์ชั่นที่เราต้องการไว้ในหัว คิดต่อไปถึงวิธีการและเส้นทางที่จะทำให้ได้ตามภาพที่เราจินตนาการเอาไว้ และหากจินตนาการพาคุณไปถึงจุดหมายปลายทางที่ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง ให้ตัดสินใจทำในสิ่งที่แตกต่างในความเป็นจริงเพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่จินตนาการไว้
“อุปสรรค ความผิดพลาด และความผิดหวังที่เข้ามา ความมุ่งมั่นจะทำให้คุณเข้าใจเองพวกมันเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ที่สักวันจะหายไปตามกาลเวลา”
ความพยายามในการไปให้ถึงจุดหมายจะดึงดูดทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการบรรลุเป้าหมายเข้ามาหาเราเอง ดวงตาของเราจะจดจ่ออยู่ที่เป้าหมายเท่านั้น และมองไม่เห็นสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็นเลยราวกับเราตาบอด ความมุ่งมั่นจะทำให้เราเป็นเราในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด และเดินอยู่บนทางที่พาไปหาเป้าหมายที่เราต้องการได้ ความสนใจไม่ได้ทำให้งานเสร็จ ความมุ่งมั่นต่างหากที่ทำให้มันเสร็จสบบูรณ์
“เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ทั้งด้านของโอกาส และด้านของปัญหา”
เมื่อเราเจอปัญหามันไม่ใช่เรื่องผิดหาก ถ้าเราจะบ่นหรือเกิดอาการหัวเสียขึ้น มันเป็นการตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว แต่หลังจากบ่นไปแล้ว ที่สำคัญก็คือเราจะทำอะไรต่อไป? เราเลือกที่จะจมอยู่กับปัญหาและอารมณ์หงุดหงิดเหล่านั้นต่อไปหรือเปล่า หรือเราจะเลือกที่จะเปลี่ยนจากด้านของปัญหาให้กลายเป็นด้านของโอกาส การค้นพบศักยภาพที่เราไม่เคยรู้เลยว่าเรามี คือการต่อสู่กับความสิ้นหวัง เราคือผลรวมของทุกประสบการณ์ที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นโอกาสหรือปัญหา ทั้งสองอย่างมันจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ทั้งดีและไม่ดีให้กับเราเสมอ
“แทบทุกคนต้องถามหรือตอบประโยค เป็นไงบ้าง? กันทุกวัน”
คำถามถามเกี่ยวกับเรื่องสารทุข์สุกดิบ เป็นสิ่งที่เราต้องเจอกันเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว เพราะมันเป็นคำถามที่หลายคนมักใช้ในการเปิดบทสนทนา คำตอบที่เราตอบคำถามนี้เป็นสิ่งที่บอกบ่งบอกถึงทัศนคติของเราได้อย่างชัดเจนเช่นกัน เช่น
- คำตอบเชิงลบ แย่มาก เหนื่อย รู้สึกไม่ดีเลยสักนิด
- คำตอบกลางๆ ก็โอเคนะ เฉยๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
- คำตอบเชิงบวก รู้สึกยอดเยี่ยมมาก ดีมาก สดชื่นจริงๆ
แม้สถานการณ์จริงจะแย่ต่อชีวิตมากแค่ไหน? เราสามารถเลือกตอบให้มันเป็นในเชิงบวกได้ เพราะทัศนคติที่ขุ่นมั่วจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยในยามที่ต้องเจอกับสถานการณ์แย่ๆ ที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว จงจำเอาไว้ว่าทุกอย่างมันเกิดจากทัศนคติของเรา จะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติของเราทั้งนั้น
“การบ่นเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ทำให้คุณเสียเวลา แต่มันยังเป็นการรวมปัญหาทั้งหมดเข้ามาด้วยกัน”
ในวงสนทนาคงจะไม่มีใครรู้สึกสนุกได้ เมื่อใครบางคนเริ่มพ่นเรื่องราวปัญหาที่แก้ไม่ได้ของตัวเอง แต่คนเราส่วนใหญ่ก็มักจะทำแบบนี้เสมอ เรามักจะเล่าและถกเถียงกันเกี่ยวกับปัญหา และเสียเวลาไปโดยที่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ถ้าเราพบว่าตัวเองกำลังบ่นอะไรที่ไม่จำเป็นให้คนอื่นฟัง ให้หยุด ดึงตัวเองกลับไป แล้วทำความเข้าใจใหม่ว่าการบ่นปัญหาที่ตัวเองเจอไม่ใช่ทางแก้ปัญหา ซ้ำยังเป็นการผลักคนอื่นออกไปให้ไกล และตอกย้ำถึงปัญหาที่ตัวเองได้เจออีกด้วย
“โลกนี้มีคนอยู่ 2 ประเภท คนที่เป็นเหมือนยาพิษ กับคนที่เป็นยาบำรุง”
กลุ่มคนที่เป็นเหมือยาพิษ มักจะใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยทัศนคติแย่ๆ พวกเขาพยายามที่จะล่อลวงเราเข้าสู่ปัญหาของพวกเขา และยับยั้งเราในการทำสิ่งใหม่ๆ ในขณะที่ยาบำรุงจะเป็นกลุ่มคนในทางตรงกันข้ามเลย พวกเขาจะเป็นพลังบวก คิดบวก พวกเขาจะสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เรามีช่วงเวลาที่ดีขึ้น ส่องประกายขึ้น เราจะรู้สึกกกระปรี้กระเปร่าอย่างกับกินเครื่องดื่มชูกำลังก่อนทำงานเลย
“ถ้าอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องเดินออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองให้ไกลที่สุดและทำในสิ่งที่คุณเกรงกลัวมันเหลือเกิน”
หากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เราจำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเองเสียก่อน ซึ่งทางที่ดีที่สุดในการพัฒนาศักยภาพ ก็คือก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง (Comfort Zone) และทำในสิ่งที่ไม่กล้าทำ (บ้าง) การที่เราต้องลองทำในสิ่งที่อยู่นอกพื้นที่ปลอดภัยนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่เราจะกลัวการก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะไม่มีการการันตีว่าเราจะไปได้ดีหรือเปล่า และเราเองก็ต้องเจอกับสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกด้วย แต่เชื่อเถอะว่ามันจะกลายเป็นการค้นพบสิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเราออกไปได้ไกลมากเท่าไร? เราก็จะพบตัวเองในจุดที่มีศักยภาพสูงมากขึ้นเท่านั้น
“ยิ่งคุณช่วยเหลือผู้คนได้มากเท่าไร คุณยิ่งสามารถได้สิ่งที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายของคุณจากพวกเขามากเท่านั้น”
การสร้างเครือข่ายพันธมิตรเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้คนที่มีประโยชน์กับเรา โดยเครือข่ายจะเป็นสถานที่ที่สามารถแลกเปลี่ยนและส่งต่อข้อมูลที่มีค่า โอกาส และการเติบโตให้กันและกันได้ มันเป็นสกิลที่สำคัญของชีวิตเพราะเราจะไม่สามารถสร้างความสำเร็จขนาดใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องอาศัยการพึ่งพา มองหาความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ หรือ สิ่งที่เรายังขาดจากคนอื่นๆ ที่มีเป้าหมายคล้ายๆ กัน หรือ เป็นกลุ่มคนที่มีทัศนคติเป็นบวกเช่นกัน
บทสรุป
หนังสือ Attitude Is Everything: Change Your Attitude … Change Your Life! ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า มันไม่สำคัญเลยว่าเป้าหมายของเราจะยากหรือง่ายแค่ไหน? จะสำคัญมากหรือน้อยแค่ไหน ? และผลลัพธ์จะมีมูลค่าเท่าไร? สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ จะเกิดขึ้นได้ และคุณสามารถทำให้มันประสบความสำเร็จได้ ถ้าหากตัวของเราคิดว่าเราทำได้ ทุกอย่างที่เราต้องการก็คือ ทัศนคติที่ดีและกลยุทธ์ในการทำให้จินตนาการของเรากลายเป็นความสำเร็จนั่นเอง นี่คือ บทสรุป 10 ประการ ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้
- พัฒนาทัศนคติเชิงบวกของเรา เพื่อก้าวข้ามความสิ้นหวัง
- เติมเต็มความคิดบวกของเรา ด้วยหนังสือ เพลง หนัง ที่ช่วยสร้างพลังและแรงบันดาลใจ
- คิดภาพของตัวเองประสบความสำเร็จขึ้นมา ถ้าเราจินตนาการมันขึ้นมาได้ เราก็ทำให้มันเป็นจริงได้
- อย่าหนี เมื่อต้องเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก
- มองหาความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา
- ซื่อสัตย์ และพูดแต่สิ่งที่เป็นเชิงบวกกับตัวเองและคนรอบข้าง
- ตอบคำถาม “เป็นไงบ้าง” ด้วยทัศนคติเชิงบวก
- หยุดบ่นกับเรื่องปัญหาที่เจอ แล้วหันมาพยายามหาทางแก้ปัญหา
- รายล้อมด้วยคนที่มีทัศนคติเชิงบวกที่เป็นเหมือนยาบำรุงของเรา
- กล้าเผชิญหน้ากับความกลัว เติบโตจากความผิดพลาด ยิ่งเราพยายามมากเท่าไร สิ่งที่เราต้องการก็ยิ่งมีค่ามากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามต่อไป
“ด้วยทัศนคติที่ดี คุณสามารถไปถึงเป้าหมายของคุณได้ และสามารถกระตุ้นให้คนรอบข้างทำแบบคุณได้เช่นกัน”