Compassion and Empathy Fatigues เป็น การเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจ และ จากการเอาใจใส่ที่มากเกินไป และทั้งสองเรื่องนี้เกิดขึ้นได้บ่อยมากในคนทำงาน ในบทความนี้จะพาพวกเราไปทำความเข้าใจในเรื่องนี้ และ หาวิธีในการรับมือและดูแลตัวเองต่อไปได้
ทุกคนต่างบอกกันว่าการเอาใจใส่และการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นองค์ประกอบหลักของการเป็น “คนดี” แต่การเป็นคนดีกลับไม่ได้สร้างความสุขให้กับเราได้เสมอไป เมื่อเราเลือกที่จะรับผิดชอบความรู้สึกของผู้อื่นจนกระทั่งเราเกิดความทุกข์เสียเอง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า “การติดต่อทางอารมณ์” หากเราปล่อยให้การติดต่อทางอารมณ์เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานๆ เราก็จะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการรับผิดชอบต่อความเจ็บปวดและปัญหาของผู้อื่นในท้ายที่สุด
“ในขณะที่เราพยายามรักษาบาดแผลให้คนอื่น แต่มันกลายเป็นบาดแผลของเราเสียเอง”
หากในแต่ละวัน หากเราต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องมีส่วนข้องเกี่ยวกับความบอบช้ำทางจิตใจของผู้คนรอบข้าง ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาล คลินิกจิตเวช หรือที่พักพิงของคนไร้บ้าน เราอาจจะมีประสบการณ์ได้สัมผัสกับความรู้สึกของความเหน็ดเหนื่อยและสิ้นหวังอย่างยิ่งจากสภาพแวดล้อมเหล่านั้น และหากเราเริ่มรู้สึกว่าตัวเราเองเร่ิมมีอาการที่ไม่สามารถรับฟังหรือดูแลใครได้อีกต่อไป นั่นหมายความว่า ตอนนี้เรากำลังมีอาการเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ (Compassion Fatigue) หรือ เหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่ (Empathy Fatigue) ไปเรียบร้อยแล้ว
ความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจ (Compassion Fatigue) คืออะไร?
ความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจ หรือ Compassion Fatigue คือ คำอธิบายอาการทางกายภาพ อารมณ์ และจิตวิทยาซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากการช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนใหญ่มักเกิดจากความเครียดหรือความบอบช้ำทางจิตใจ ซึ่งสาเหตุอาจเกี่ยวกับความเครียดจากสภาพแวดล้อม หรือความรู้สึกเจ็บปวดแทนคนอื่น โดยสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความเห็นอกเห็นใจที่มีถูกเชื่อมโยงกับความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการทำงานและหน้าที่การงานที่ทำให้คุณต้องอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเป็นประจำ
“ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจ จะเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น ความคิด อารมณ์ และความเป็นอยู่ที่ดีของคุณ”
ยกตัวอย่างในบางอาชีพ เช่น อาชีพนักบำบัดอาจได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจผ่านประสบการณ์และเรื่องราวของผู้ป่วย นี่คือ ตัวอย่างสาเหตุของความเหนื่อยล้าที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจ
- ให้การบำบัดผู้ป่วยที่เคยผ่านปัญหาที่รุนแรง หรือ กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่รุนแรง
- ถูกคุกคามทางร่างกายหรือทางวาจาเมื่อให้การดูแลผู้ป่วย
- เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับผู้ป่วยในการฆ่าตัวตายหรือการขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย
- ให้การดูแลผู้ป่วยในสภาพแวดล้อมที่อันตราย
- ให้การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า
- เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วย ที่มีประสบการณ์ได้เจอความตาย ความเศร้าโศก หรือโศกนาฏกรรม
- ดูแลผู้ป่วยที่เคยประสบกับความเจ็บป่วย หรือผ่านประสบการณ์ได้เจอการเสียชีวิตของเด็ก
- ให้การดูแลภายใต้ภาระงานหนัก อันเกิดมาจากผู้ป่วยมีความต้องการที่มากเกินไป
- การให้บริการที่ต้องให้ไปเยี่ยมชมที่เกิดเหตุ ดูหลักฐาน จัดการกับหลักฐาน หรือรายงานการบาดเจ็บ
“สิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ ความเหนื่อยล้าเกินกว่าจะดูแลใครได้อีก”
เมื่อเรามาถึงจุดที่เหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจคนอื่นอย่างถึงที่สุด หรือ Compassion Fatigue เราจะรู้สึกว่าเราไม่สามารถรับผิดชอบหรือดูแลความรู้สึกของใครๆ ได้อีกต่อไป โดยอาการเช่นนี้เป็นผลเสียจากการอยู่ในเหตุการณ์ที่เครียดหรือกระทบกระเทือนจิตใจซ้ำๆ ซึ่งเราสามารถสังเกตการแสดงออกได้ทั้งทางอารมณ์และทางร่างกาย ได้ดังต่อไปนี้
1. การแสดงออกทางอารมณ์
- การแยกตัวเองออกจากผู้อื่น
- รู้สึกเย็นชาหรือขาดการเชื่อมต่อ
- ขาดพลังงานไปใส่ใจเรื่องอื่นๆ รอบตัวเรา
- รู้สึกท้อแท้ หมดหนทาง หรือสิ้นหวัง
- ไม่สามารถเกี่ยวข้องกับผู้อื่นได้
- รู้สึกโกรธ เศร้า หรือหดหู่
- ความคิดครอบงำเกี่ยวกับความทุกข์ของผู้อื่น
- รู้สึกตึงเครียดหรือกระวนกระวายใจ
- รู้สึกพูดไม่ออกหรือไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราได้อย่างเหมาะสม
- โทษตัวเอง
2. การแสดงออกทางร่างกาย
- ไม่สามารถมีสมาธิ มีประสิทธิภาพ หรือทำงานประจำวันให้เสร็จสิ้น
- มีอาการปวดหัว
- มีอาการคลื่นไส้หรือปวดท้อง
- มีอาการนอนหลับยากหรือมีความคิดแข่งกันอย่างต่อเนื่อง
- การรักษาตนเองด้วยยาหรือแอลกอฮอล์
- มีความรู้สึกเกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ของเรา
- การเปลี่ยนแปลงในความอยากอาหารของเรา
- รู้สึกหมดแรงตลอดเวลา
- หลีกเลี่ยงงานหรือกิจกรรมอื่นๆ
ความเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่ (Empathy Fatigue) คืออะไร?
คำว่า ความเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่ หรือ Empathy Fatigue ได้ถูกค้นพบขึ้นครั้งแรกโดยศาสตราจารย์ Mark Stebnicki ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย East Carolina เขาพบปรากฎการณ์นี้กับกลุ่มที่มีอาชีพให้คำปรึกษา เขาพบว่าความเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่นั้นจะแสดงให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในผู้ที่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการสอน การดูแล หรืออาชีพที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น อย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์ โค้ช และครูผู้สอน เป็นต้น
ความเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่ คือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์และร่างกายที่เกิดขึ้นจากการดูแลผู้คน วันแล้ววันเล่า เมื่อเวลาผ่านไปคนกลุ่มนี้จะก็จะเริ่มรู้สึกเฉยชาและค่อยๆ ห่างเหิน หรือมีปัญหาในการดูแลผู้คนต่อไป เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เราลองมาดูกันว่า เรากำลังมีความเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่ หรือเปล่า?
12 สัญญาณ ของความเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่
- รู้สึกว่าทุกอย่างมันเข้ามาเยอะเกินไป เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง หมดหนทางที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
- รู้สึกโกรธ หงุดหงิด วิตกกังวล ตึงเครียด
- รู้สึกโดดเดี่ยว ทั้งทางอารมณ์ ร่างกาย หรือจิตใจ
- มีความเห็นอกเห็นใจลดลง ไม่สามารถตอบสนองต่อข่าวร้าย หรือสนับสนุนผู้อื่นอย่างที่เคยเป็นได้
- ครุ่นคิด และจมอยู่กับความรู้สึกด้านลบ
- ตำหนิตัวเองในความล้มเหลวที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด
- ลดความสามารถและความศรัทธาในตัวเองลง
- คลื่นไส้ เวียนหัว ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ และ การอ่อนเพลียทางจิตใจ
- ไม่สามารถมีสมาธิกับงาน การสนทนา หรือกิจกรรมประจำวันได้
- ขาดความสุขในกิจกรรมที่เคยสนุกและชอบมาก่อน
- ขาดการมีส่วนร่วม และพยายามหลีกเลี่ยงงานที่เคยทำ
- ความรู้สึกไวมากต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์
“มีความแตกต่างบางอย่างระหว่างความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจ (Compassion Fatigue) และความเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่ (Empathy Fatigue)”
ความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ (Compassion Fatigue) เรียกอีกอย่างว่าความเครียดที่กระทบกระเทือนจิตใจ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเรารู้สึกมีแรงจูงใจในการจะช่วยเหลือผู้อื่น พยายามดิ้นรนกับบาดแผลทั้งทางกายภาพและอารมณ์ แต่จู่ๆ ความสิ้นหวังก็ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยเกินกว่าที่จะดูแลใครๆ ได้ ถึงแม้ว่าเราจะมีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นก็ตาม แต่สำหรับความเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่ (Empathy Fatigue) คือ การนำตัวเองเข้าไปเป็น “ตัวแทน” ในความคิดและความรู้สึกของบุคคลอื่น ความเจ็บปวดจะเกิดจากการที่พบคนคนหนึ่งประสบกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
สัญญาณของความเหนื่อยล้า
ความเหนื่อยล้าอาจ ส่งผลต่อความสามารถในการทำงานหรือทำกิจกรรมประจำวันของเรา แต่เราอาจจะยังโชคดีที่มันมีสัญญาณบ่งบอกว่าเราอาจมีอาการเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจหรืออาการเหนื่อยล้าจากการเอาใจใส่อยู่หรือเปล่า ดังต่อไปนี้
- มีอารมณ์เเปรปรวน– จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความเครียดในระยะยาวสามารถนำไปสู่อารมณ์แปรปรวนในระดับปานกลางถึงรุนแรงได้ บางครั้งอาการอาจมีสาเหตุมาจากความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจหรือการเอาใจใส่ที่มากเกินไปจนเกิดเป็นความเครียด
- ผ่านประสบการณ์การจากลา – สัญญาณทั่วไปของความเหนื่อยล้าคือการถอนตัวจากการเข้าสังคม เห็นได้ชัดเจนจากมิตรภาพหรือความสัมพันธ์ที่ถูกทอดทิ้ง เราอาจรู้สึกขาดการติดต่อทางอารมณ์จากผู้อื่นหรือรู้สึกชาในชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตการทำงานของเรา
- มีอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้า – ความรู้สึกวิตกกังวลหรือซึมเศร้าเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียดหรือกระทบกระเทือนจิตใจที่ได้รับมามากจนเกินไป เราจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับโลกรอบตัวคุณ หดหู่ เสียขวัญหรือเริ่มสงสัยในตัวเอง บางคนมีการระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับความปลอดภัยส่วนบุคคลและครอบครัว
- ปัญหาในการมีประสิทธิภาพ – การศึกษาแสดงให้เห็นว่าความเครียดที่เกี่ยวข้องกับความเหนื่อยล้าทางจิตใจและร่างกายของเรา เราอาจประสบปัญหาในการจดจ่อหรือการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตส่วนตัวหรือการทำงานของเรา ความเครียดในระยะยาวอาจส่งผลต่อความจำและทำให้เราจดจ่อกับงานที่ทำได้ยาก
- มีอาการนอนไม่หลับ – สัญญาณหนึ่งของความเหนื่อยล้า คือการทุกข์ทรมานจากภาพที่รบกวนจิตใจ จนมันอาจรบกวนความคิดหรือความฝันของเรา และนำไปสู่การนอนไม่หลับและอ่อนเพลีย
- มีอาการทางกาย – ความเหนื่อยล้าทำให้เกิดอาการทางร่างกายได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ความเหนื่อยล้า ความเบื่อหน่าย ความอยากอาหารเปลี่ยนไป ปัญหาทางเดินอาหาร ปวดหัว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลักๆ อีก 4 ประการ ที่เพิ่มความอ่อนแอต่อความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจและการเอาใจใส่ ดังต่อไปนี้
- ขาดความตระหนักในตนเอง – เรามักระงับความต้องการพักผ่อนโดยเลือกที่จะให้ความต้องการของผู้อื่นมาก่อนตนเอง แม้ว่าจะฟังดูดีแค่ไหนแต่ทุกคนมีความต้องการส่วนตัว และการละเลยความต้องการส่วนตัวของตนเองมีความเสี่ยงสูงที่จะสร้างความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและอารมณ์ได้
- กำหนดขอบเขตการทำงานได้ไม่ดี – การไม่กำหนดขอบเขตในที่ทำงานและในความสัมพันธ์ก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าขึ้นในที่สุด แต่เพราะเส้นแบ่งระหว่างที่ทำงานและบ้านไม่ชัดเจนพอ ขอบเขตจึงกลายเป็นสิ่งที่กำหนดได้ยาก
- เสียความรู้สึกกะทันหัน – ไม่ว่าจะเป็นงาน บ้าน หรือคนที่คุณรู้จัก การสูญเสียอาจทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง หลายคนหันไปทำงานหรือรับผิดชอบสิ่งอื่นๆ เพื่อดึงให้ตนเองรู้สึกเป็นปกติอีกครั้ง โดยไม่จัดการกับความรู้สึกสูญเสียตรงนั้นให้จบ พวกเขามักจะเสี่ยงต่อสุขภาพทางอารมณ์อย่างมาก
- แรงกดดันหลายอย่าง – เราอาจทำได้ดีภายใต้แรงกดดันชุดเดียว และสะดุดเมื่อความท้าทายเหล่านั้นปะทุขึ้น เนื่องจากเราทุกคนมีพลังงานและทรัพยากรอย่างจำกัดเพื่อตอบสนองความรับผิดชอบในแต่ละวัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นอุปสรรคได้เมื่อมันท่วมท้นจนทำให้เรารู้สึกหมดหนทางแล้วจริงๆ
10 วิธีป้องกันและลดผลกระทบจากการเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจและจากการเอาใจใส่
เรามาลองสำรวจสิ่งต่างๆ ในแต่ละวัน ที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันและรับมือกับความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจและการเอาใจใส่คนอื่นกันเถอะ
- รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น – ละเว้นจากการตัดสินจากประสบการณ์ว่าดีหรือไม่ดี รับรู้ว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกของเรา ทำงานกับความฉลาดทางอารมณ์ของเราเพื่อให้คุณรับรู้อารมณ์และควบคุมอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม
- ฝึกสติ – การฝึกสติช่วยพัฒนาทักษะการเผชิญปัญหาในแต่ละวัน
- พักผ่อนบ้าง – หลีกหนีจากแรงกดดัน เติมวันของเราด้วยการหยุดพักเติมพลังเสียหน่อย
- ขอความช่วยเหลือ – แบ่งเรื่องที่เรากำลังทำ คิด หรือกังวลใจออกไปให้คนอื่นบ้าง ขอการสนับสนุนจากคนรอบตัว ให้โอกาสพวกเขาได้ช่วยเราบ้าง
- สร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ – สร้างความสัมพันธ์ใหม่ด้วยการเป็นอาสาสมัคร หาเพื่อนใหม่ หรือศึกษาต่อ การค้นพบอีกครั้งสามารถช่วยจุดประกายความหลงใหลในการทำสิ่งนั้นได้อีกครั้ง
- ขอให้สนุก – เป็นไปได้ว่าถ้าเรารู้สึกหมดไฟ แสดงว่าเราขาดเสียงหัวเราะและความเพลิดเพลินอย่างมาก อาจเป็นเรื่องยากที่จะคิดอะไรสนุกๆ ดังนั้นลองทำเรื่องสนุกตามคำขอคนอื่นดูบ้าง
- ลองอะไรใหม่ๆ – เรียนรู้สิ่งใหม่ช่วยชะลอความแก่ ข้อดีเพิ่มเติมคือเราอาจจะเจอวิธีคิดใหม่เกี่ยวกับความท้าทายที่กำลังปิดกั้นเราอยู่ตลอด
- วางโทรศัพท์ลง – ในโลกที่เชื่อมต่อกันตลอดเวลา การวางอุปกรณ์ของเราลงอาจทำให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลได้ แต่เมื่อได้ลองทำแล้วคุณจะพบว่าโลกตรงหน้ามันดีกว่าโลกเสมือนในหน้าจอสี่เหลี่ยมแน่นอน
- พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ – หากเรารู้สึกว่าอาการของเราส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ให้ลองติดต่อโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อให้พวกเขาเยียวยาจิตใจของเรา
- กลับไปสู่พื้นฐาน – น้อยคนนักที่จะรู้สึกว่าเราทำดีที่สุดแล้ว หากเรารู้สึกไม่สบาย ให้ลองดูกิจวัตรเพื่อให้แน่ใจว่าเรานอนหลับอย่างดี กินอาหารตามหลักโภชนาการ ดื่มน้ำมากพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น
บทสรุป
เรื่องของ Compassion and Empathy Fatigues เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทำงานทุกคน โดยเฉพาะหากงานเป็นงานประเภทที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับคน บางครั้งความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจหรือเอาใจใส่ผู้อื่นก็ถูกเรียกว่า “ค่ารักษาพยาบาล” เพราะในอดีตความเหนื่อยล้าเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของบุคลากรในแนวหน้าเป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น ลักษณะงานของ แพทย์ พยาบาล นักบำบัด นักเผชิญเหตุ และนักข่าว ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด เพราะอาชีพเหล่านี้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตึงเครียดหรือกระทบกระเทือนจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจจะทำให้พวกเขาอ่อนไหวต่อการบอบช้ำทางจิตใจจากสิ่งที่พวกเขาประสบมาหรือรู้สึกผ่านเรื่องราวของผู้อื่น
ความเหนื่อยล้าถูกมองว่าเป็นความผิดปกติของความเครียดที่ถูกกระทบกระเทือนจิตใจ เป็นประเภทของความเครียดที่มาจากการช่วยเหลือผู้คนให้ผ่านเรื่องเลวร้ายไปได้ในแต่ละวัน เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสุดความสามารถได้หากตัวเรารู้สึกเหนื่อยล้าเสียเอง ดังนั้นก่อนที่เราจะดูแลหรือรับผิดชอบความรู้สึกของใครได้ เราจำเป็นต้องดูแลและรับผิดชอบความรู้สึกตัวเองให้ได้ดีเสียก่อน
“จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดการเห็นอกเห็นใจและเอาใจใส่ผู้อื่น คือเห็นอกเห็นใจและเอาใจใส่ตัวเอง”
References:
https://www.webmd.com/mental-health/signs-compassion-fatigue
https://health.clevelandclinic.org/empathy-fatigue-how-stress-and-trauma-can-take-a-toll-on-you/
https://www.betterup.com/blog/empathy-and-compassion-fatigue
บทความแนะนำ:
Resilience skill – ความสามารถในการอึด ฮึด สู้ ทักษะสำคัญที่คนทำงานต้องมี