The Empath’s Survival Guide – เป็นคู่มือที่ให้แนวทางสำหรับการเป็นคนเอาใจใส่ที่ถูกต้อง เพราะหลายๆ ครั้งการเอาใจใส่คนอื่นมากเกินไป ก็อาจจะทำให้หลายคนเป็นทุกข์ได้
ปกติแล้วคุณรู้สึกเหนื่อยกับการอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มไหม ท่ามกลางผู้คนมากมายที่พูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน คุณกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อยล้าเหลือเกินที่จะยืนอยู่เป็นส่วนหนึ่งของวงสนทนาตรงนั้น คนรอบข้างมีผลต่ออารมณ์เหนื่อยล้าทางความรู้สึกของคุณหรือเปล่า เคยคิดบ้างไหมว่าคนที่คุณใช้เวลาร่วมด้วยในแต่ละวันถูกคนแล้วใช่ไหม เค้าไม่ได้เป็นสาเหตุของความเหนื่อยล้าของคุณใช่ไหม?
The Empath’s Survival Guide เป็นหนังสือคู่มือสำหรับการเป็นคนเอาใจใส่ที่ถูกต้อง ถูกคน ถูกสถานที่ ถูกเรื่อง และถูกใจตัวเองด้วย Judith Orloff, M.D. หนังสือของเธอได้รับการจัดอันดับให้เป็น The New York Times bestselling book อยู่หลายเล่ม เช่น Emotional Freedom กับ Opens up about life as an empath เป็นต้น ตัวเธอเองทำอาชีพแพทย์มาได้ประมาณ 14 ปี แล้วเกิดความคิดที่จะรวมโลกของแพทย์เข้ากับความรู้ในเรื่องอารมณ์ในยุคที่ผู้คนสวมหน้ากากเข้าหากัน และขาดการตระหนักสิ่งรอบข้างเช่นนี้
“เรียนรู้ที่จะโอบกอดธรรมชาติของคุณด้วยคู่มือของคนเอาใจใส่”
คู่มือเล่มนี้เป็นการบอกคนอ่านทุกคนว่า “เฮ้ ไม่เป็นไรเลย” คุณสามารถมีความสุขกับการเป็นคนเอาใจใส่คนอื่นได้ แม้จะเป็นเรื่องยากไปเสียหน่อย เพราะหากคุณมีอุปนิสัยในการเอาใจใส่คนรอบข้างเสมอมาได้สักระยะ คุณจะรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และบางครั้งมันก็ทำให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวจนอยากจะหนีออกไปอยู่คนเดียวสักพัก แต่หนังสือเล่มนี้กำลังจะดึงมือคุณไว้แล้วโอบกอดความเอาใจใส่ของคุณเพื่อให้คุณรู้จักวิธีอยู่ร่วมกับมันได้อย่างถูกต้อง
“นิสัยเอาใจใส่ คือ ของขวัญ”
บางคนอ่านประโยคข้างต้นนี้อาจจะนึกแย้งขึ้นมาทันทีเลย เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาการเอาใจใส่คนอื่นเป็นเหมือนการ “หาเหาใส่หัว” ก็เป็นได้ ผู้เขียน Orloff เขาไม่ได้เขียนหนังสือมาเล่าเรื่องตัวเองว่าเธอเป็นคนเอาใจใส่คนอื่นได้อย่างไร แต่เธอเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อให้คุณอ่านแล้วหาวิธีที่จะเป็นคนเอาใจใส่ที่ไม่เจ็บปวดในรูปแบบของคุณเองให้เจอ
“คุณมีศักยภาพที่ไวต่อความรู้สึกมาก แต่คุณก็ต้องรู้จักวิธีควบคุมและใช้ประโยชน์ศักยภาพนั้นให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นคุณจะโดนมันควบคุมเสียเอง”
ปัญหาก็คือการเป็นคนเอาใจใส่คนอื่น บางครั้งคุณก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้วิธีในรับมือ มันจะสร้างความเหนื่อยอ่อน ความเครียด และทำให้อารมณ์คุณแย่ลงไปอย่างรวดเร็ว คนที่เอาใจใส่คนอื่นมากๆ ควรจะต้องมีกำแพงเล็กๆ กั้นระหว่างความรู้สึกของตัวเองเมื่อได้รับรู้เรื่องราวของคนอื่น กับความรู้สึกของคนอื่นที่เราได้ฟังเรื่องราวมาแล้วเก็บมาเป็นของตัวเอง ซึ่งบางครั้งมันท่วมท้นจนกลืนความรู้สึกที่แท้จริงไปได้เลยเหมือนกัน
“เข้าอกเข้าใจ กับ เอาใจใส่ มีความหมายไม่เหมือนกัน”
นี่เป็นสิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิดเสมอ ความเข้าอกเข้าใจเป็นสิ่งที่ใครก็มีได้ ใครก็ตามที่เคยผ่านประสบการณ์หรือมีความทรงจำเช่นเดียวกับเรื่องราวปรับทุกข์ที่กำลังได้รับฟังสามารถเกิดความรู้สึกเข้าอกเข้าใจได้ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากการเอาใจใส่ การเอาใจใส่เป็นการที่คุณสามารถบอกได้ทันทีเลยว่าเขาคนนั้นกำลังรู้สึกมีความสุข เศร้า เหงา หรือ มีเรื่องทุกข์ใจอะไร? โดยที่เขายังไม่ได้เอ่ยปากเล่า และคุณเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปประสบพบเจออะไรมา
ในเรื่องของความเอาใจใส่ สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภทด้วยกัน ดังต่อไปนี้
- เอาใจใส่โดยกายภาพ: คุณดูดซับอาการทางกายภาพของคนอื่นที่คุณเอาใจใส่พวกเขามาเป็นของตัวเองจนหมด เช่น เพื่อนของคุณดูไม่มีความสุขเลยในวันนี้ แม้คุณจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่อาการของเพื่อนมันทำให้คุณไม่มีความสุขไปด้วย เป็นต้น
- เอาใจใส่โดยอารมณ์: คุณโอบอุ้มความรู้สึกของคนอื่นไว้ราวกับมันเป็นความรู้สึกของตัวคุณเอง เมื่อมีใครสักคนรู้สึกแย่ คุณจะพยายามทำให้เขารู้สึกดีขึ้นให้ได้ รักษาความรู้สึกของพวกเขาไว้ราวกับมันเป็นแก้วที่พร้อมแตก และหากมันแตกคุณก็พร้อมที่จะเชื่อมแก้วใบนั้นใหม่เพื่อเขา
- เอาใจใส่โดยสัญชาตญาณ: คุณมักจะมีประสบการณ์จากการสัมผัสได้ถึงข้อความ กระแสจิต หรืออารมณ์ความรู้สึกได้โดยที่ไม่ต้องมีใครบอกกล่าวหรืออธิบายให้ฟัง คุณรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณและทำตามสัญชาตญาณเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเช่นกัน
“คุณไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น เพื่อเลิกเป็นอ่อนไหวหรือไวต่อความรู้สึก”
การเอาใจใส่ ไม่ใช่หมายถึงการเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย หรือไวต่อความรู้สึกจนเกินไป หลายคนชอบพูดกันว่าโตแล้วต้องแข็งแกร่งขึ้น แต่การเป็นคนเอาใจใส่ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นคนอ่อนแอ การรับรู้ความรู้สึกทุกอย่างอย่างท่วมท้นยังคงเป็นของขวัญหากเรามีการจัดการที่ดี ซึ่งหมายถึงดีต่อสุขภาพของตัวเราเองด้วย หากคุณยังไม่สามารถควบคุมความเอาใจใส่ได้มันจะกลายเป็นคำสาปแทนพรจากพระเจ้า
“เตือนตัวเองสักหน่อย ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกของคุณ แต่สุขภาพเป็นของคุณ”
การเอาใจใส่คนอื่นในระดับที่ซึมซับเรื่องราวและความรู้สึกของพวกเขามาเป็นของตัวเองสามารถส่งผลเสียต่อร่ายกายได้เป็นอย่างมากเช่นกัน เราคิดเรื่องเขาจนเหมือนเป็นเรื่องของตัวเราเอง ส่งผลทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล อาการท้องไส้ปั่นป่วน ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ดังนั้นเราต้องเอาใจใส่ร่างกายและสุขภาพของตัวเองให้เหมือนกับเอาใจใส่คนอื่นด้วย บางทีเราเองก็แค่ต้องทบทวนตัวเองเสียหน่อยว่าความรู้สึกที่กำลังรู้สึกอยู่เป็นของเราหรือเป็นของคนอื่นที่เราไปเอาใจใส่นั้นมากเกินไปแล้วหรือเปล่า
“หลีกเลี่ยงการกลายเป็นฟองน้ำ”
การเป็นคนเอาใจใส่ให้สุขภาพไม่แย่นั้น คุณจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการผันตัวเองกลายเป็นฟองน้ำดูดซับเรื่องราว ความรู้สึก และอาการทางกายภาพของคนอื่นโดยไม่จำเป็น ซึ่งหากคุณไม่อยากกลายเป็นฟองน้ำ คุณจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการป้องกัน ดังต่อไปนี้
กลยุทธ์การป้องกัน และรับมือกับเรื่องราวของคนอื่น
เพียงแค่ 5 นาทีต่อวัน คุณจำเป็นต้องหาสถานที่ที่เงียบเสียหน่อย ต้องมั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถรบกวนคุณได้ในเวลานั้น และสวมเสื้อผ้าที่ทำให้คุณรู้สึกสะดวกสบายที่สุด
- หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ
- ถ้ามีความคิดอะไรก็ตามหลั่งไหลเข้ามา อย่าไปสนใจมัน จดจ่อที่ลมหายใจต่อไป แล้วปล่อยความคิดเหล่านั้นไหลผ่านไป
- คิดภาพแก่นพลังภายในร่ายกายของคุณขึ้นมา มันส่งพลังงานให้คุณปลายนิ้วเท้าจนถึงศีรษะ
- หากคุณรู้สึกผ่อนคลายแล้ว คิดภาพแสงสีขาวและชมพูขึ้นมา ให้มันล้อมรอบร่างกายของคุณไว้เสมือนเป็นเกาะป้องกันตัว
- เมื่อคุณพร้อมแล้ว ให้ค่อยๆลืมตาแล้วกลับสู่โลกแห่งความจริงในปัจจุบันกัน
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธีการที่สามารถใช้ได้ เมื่อคุณกำลังตกอยู่ในความเครียดและความรู้สึกของคนอื่นปกคลุมไว้ นี่คือเทคนิคที่แก้ปัญหาด้วยการสร้างภาพในหัวขึ้นมา
- นั่งอยู่ในสถานที่ที่ทำให้คุณรู้สึกสะดวกสบาย โดยห่างจากคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์และโทรศัพท์ให้มากที่สุด
- เมื่อคุณพร้อม ดึงตัวเองกลับเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบันช้าๆ
- คิดภาพต้นไม้ใหญ่ขึ้นมา ต้นไม้ที่มีลำต้นแข็งแรง กว้างใหญ่ มันอยู่ในตัวคุณ แตกกิ่งก้านสาขาไปตามร่างกายของคุณตั้งแต่ศีรษะหยั่งรากลงลึกไปยังปลายนิ้วเท้า
- หลังจากนั้นให้คิดภาพรากของต้นไม้กำลังหยั่งรากลึกลงไปยังพื้นใต้เท้าของคุณ
- ไม่ว่าคุณจะกำลังรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกแย่อะไร คิดภาพต้นไม้กำลังหยั่งรากลึกลงไปที่พื้นดินอีกครั้ง
- เมื่อคุณพร้อม ลืมตาขึ้นแล้วกลับสู่ปัจจุบัน
อันตรายสำหรับคนเอาใจใส่
“0.5 – 1% จากประชากรทั้งหมดเป็นโรคหลงตัวเอง”
การหลงตัวเองไม่ใช่แค่คำด่าหรือตำหนิติเตียนที่เราชอบเอามาพูดเล่นกัน มันคือความผิดปกติทางบุคลิกภาพหรือ Narcissistic Personality Disorder (NPD) พวกเขาบางคนสามารถเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ แต่ความรู้สึกที่ต้องการจะเอาใจใส่ใครสักคนของพวกเขาถูกปิดตาย พวกเขาอันตรายมากสำหรับคนที่มักจะเอาใจใส่คนอื่นอยู่เสมอ เพราะพวกเขารู้วิธีที่จะใช้ประโยชน์จากความเอาใจใส่เหล่านั้น
“คนเอาใจใส่มักถูกดึงดูดโดยคนหลงตัวเอง เพียงเพราะเชื่อว่าภาพลวงตานั้นเป็นเรื่องจริง”
สิ่งหนึ่งที่เราต้องจำให้ขึ้นใจคือ คนหลงตัวเองไม่มีความเอาใจใส่ให้กับคนอื่น พวกเขาคิดแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น พวกเขาเก่งในการแสดงออกให้หลงเชื่อ มันเป็นเหมือนภาพลวงตาที่ล่อลวงเหล่าคนที่เอาใจใส่คนอื่น โชคร้ายที่ภาพลวงตาเหล่านั้นมีแรงดึงดูดที่รุนแรงมาก หลายคนจึงมักถูกใช้ประโยชน์จากความเอาใจใส่ของตัวเอง สิ่งที่เราทำได้ก็คือท่องไว้ว่าเราไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีและปลอดภัยกับคนหลงตัวเองได้ สิ่งที่ทำใด้คือพูดว่า “ขอบคุณ” แล้วเดินออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นซะ
“ระวังแวมไพร์”
ภัยคุกคามใหญ่ที่น่าหวาดกลัวสำหรับคนที่เอาใจใส่คนอื่นไม่ได้มีแค่คนหลงตัวเองเท่านั้น แต่ยังมี แวมไพร์ที่คอยดูดพลังงานจากคนอื่นที่อันตรายมากอีกด้วย พวกเขาจะดูดกินพลังงานบวกจากคนที่เอาใจใส่คนอื่น แล้วทิ้งไว้เพียงความเหนื่อยล้าและพลังลบ เมื่อเราอยู่ใกล้คนพวกนี้เราจะรู้สึกเหนื่อย เครียด และเริ่ม วิพากย์วิจารณ์ตัวเองในเชิงลบอย่างไร้สาเหตุ เราสามารถเลี่ยงคนพวกนี้ได้เช่นเดียวกับคนหลงตัวเอง และทางที่ดีการไม่ใช้เวลาร่วมกับพวกเขาเป็นทางแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นที่ดีที่สุด
บทสรุป
ผู้เขียน Orloff ได้มีความพยายามที่จะส่งเคล็ดลับ การปฏิบัติ และวิธีการเป็นคนเอาใจใส่คนอื่นอย่างมีความสุขผ่านทางหนังสือคู่มือเล่มนี้อย่างที่สุด โลกเราต้องการคนที่เข้าอกเข้าใจกันและเอาใจใส่กันอย่างแท้จริง ซึ่งจากประชากรบนโลกทั้งหมดแล้ว พบว่ามีเพียง 20% เท่านั้นที่มีความเอาใจใส่ให้คนอื่นอย่างแท้จริง ใน 20% นั้นทุกคนควรได้รู้สึกว่ามันคือความโชคดีที่เราได้รู้สึกสิ่งที่อีก 80% ไม่รู้สึก มันกลายเป็นความน่าตื่นเต้นและความท้าทายที่เรารับฟังและใส่ใจเรื่องราวของคนอื่นราวกับมันเป็นเรื่องของเราเอง มันแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ และความเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ดีเช่นกัน
สิ่งที่เราจดจ่อไปกับมันคือเรื่องราวเชิงลบที่เกิดขึ้นเมื่อเรากลายเป็นคนเอาใจใส่คนอื่น แต่ยังมีเรื่องราวดีๆ อีกมากที่เกิดขึ้นได้จากความเอาใจใส่ แต่อย่าลืมว่าคุณต้องเรียนรู้ที่จะจัดการความไวต่อความรู้สึก ป้องกันตัวเองจากคนร้ายกาจที่ไม่หวังดี แล้วคุณจะพบว่าการเข้าใจความรู้สึกคนอื่นสามารถเกิดเป็นความรู้สึกเชิงบวกต่อตัวเราได้มากกว่าจะเป็นความรู้สึกลบที่คุณเคยได้ซึมซับมันเข้าไป
“การเกิดมาเป็นคนเอาใจใส่ สมควรเป็นพรไม่ใช่คำสาป”
บทความแนะนำ
Attitude Is Everything: Change Your Attitude, Change Your Life