อารมณ์เสีย อาการที่เกิดขึ้นได้ง่าย และพบได้บ่อย โดยเฉพาะกับคนทำงานในยุคนี้ เพราะเราอยู่ในสังคมที่อะไรก็ด่วน อะไรก็รีบไปหมด ความกดดันก็เยอะ การแข่งขันก็สูง จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หลายๆ คน เกิดอาการหงุดหงิด หรือ อารมณ์เสียได้ง่ายนั่นเอง
ตัวอย่างเหตุการณ์ ที่ทำให้เราต้องอารมณ์เสียได้บ่อยๆ เช่น
“โดนคนขับรถปาดหน้า” – โกรธ โมโห อยากจะเอาคืน
“ไปติดต่องานที่สำนักงานแห่งหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ทำท่าทางเพิกเฉยและเย็นชา” – หงุดหงิด ไม่พอใจ
“ไปซื้อของ แต่คนเยอะ ต้องรอคิวนานมาก” – โกรธ ไม่พอใจ
“เพื่อนร่วมงาน วิพากษ์วิจารณ์ผลงานของเราในทางที่ไม่ดี” – โกรธ ไม่พอใจ
“ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ในเรื่องความเห็นไม่ตรงกัน” – โกรธ ไม่พอใจ
“มีเพื่อนร่วมงานบางคน เอาเรื่องของเราไปพูดลับหลัง” – โกรธ ไม่พอใจ
“โดนเจ้านายตำหนิ ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน ในเรื่องที่เราทำงานพลาด” – โกรธ เสียหน้า อับอาย
“ทำงานหนักมาแทบตาย สุดท้ายไม่ได้โปรโมท” – โกรธ เสียใจ ผิดหวัง
“เจ้านาย เอางานชิ้นสำคัญไปให้เพื่อนเราทำ” – โกรธ น้อยใจ
“มีประชุมสำคัญมากของแผนก แต่เจ้านายกลับไม่ให้เราเข้าร่วมประชุม” – น้อยใจ
“บริษัทประกาศจะลดจำนวนคนงานในสิ้นปีนี้” – วิตกกังวล เครียด กลัวว่าจะเป็นหนึ่งในนั้น
“ได้รับโอกาส ไปเป็นหัวหน้าในหน่วยงานใหม่” – วิตกกังวล เครียด และ กลัวว่าจะทำไม่ได้
คุ้นๆ ไหมครับ กับเรื่องราวแบบนี้ หรือ สถานการณ์แบบนี้ในยุคนี้ เราสามารถอารมณ์เสีย หรือ เกิดอาการอารมณ์ไม่ดี กันได้ง่ายมากขึ้น อาจจะด้วยเพราะมีสถานการณ์มากมายที่มากระตุ้นและผลักดันให้เราอารมณ์เสียกันได้ไวและรวดเร็วกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอารมณ์เสียที่เกิดจากชีวิตประจำวันของเรา หรือ อารมณ์เสียที่เกิดในที่ทำงาน
สาเหตุที่ทำให้เราอารมณ์เสีย
เกิดจากมุมมองที่เป็นลบต่อสถานการณ์นั้นๆ
เช่นโกรธหัวหน้าที่ตนเองไม่ได้รับการโปรโมทโดยลืมมองตัวเองไปว่า ตนเองอาจจะยังมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขและปรับปรุงอีกหลายจุด เลยทำให้ไม่ได้ตำแหน่งนี้ไป
หรือ ความเครียด ความวิตกกังวล เมื่อรู้ว่าบริษัทกำลังจะมีการปลดพนักงาน กล่าวคือ ทำให้เกิดการกังวลและเครียดไปก่อน โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าตนเองจะเป็นหนึ่งในนั้นจริงๆ หรือ เปล่า หรืออาการ กังวล เครียด กลัวว่าจะทำงานได้ไม่ดี ถ้าต้องไปเป็นหัวหน้ามือใหม่ เป็นต้น
เกิดจากพฤติกรรมของเราหรือของบุคคลอื่นต่อสถานการณ์นั้นๆ
เช่น คนขับรถปาดหน้าเรา เขาอาจจะรีบร้อนหรือมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ที่ต้องทำก็ได้ แต่ถ้าเราโกรธ โมโห แล้วพยายามไปปาดหน้ากลับ ซ้ำร้ายอาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือการทะเลาะวิวาทตามมาได้ มันคุ้มไหม?
หรือ ไปติดต่องานหรือซื้อของแล้วต้องรอคิวนานๆ เราอาจจะลืมไปว่าพนักงานเขาอาจจะทำงานหนักมาทั้งวันแล้วก็ได้ เพราะลูกค้าเขาเยอะ การที่เราไปโกรธ โมโห หรือ ไปโวยวายเขา มันไม่ได้ทำให้คิวมันสั้นลง หรือ ทำให้เราได้รับบริการที่เร็วขึ้น ถ้าใช้อารมณ์ทำอะไรไม่ดีไป อาจจะเกิดการมีปากมีเสียง หรือ ทะเลาะกันขั้นรุนแรงได้
ถ้าเราเปิดใจ เห็นอกเห็นใจ เข้าใจฝั่งตรงข้ามบ้าง เราก็จะไม่อารมณ์หงุดหงิด หรือ อารมณ์เสียไปเกินกว่าเหตุ ทางเลือกจริงๆ แล้วก็มีมากมาย เช่น มาซื้อ หรือ มาติดต่อวันหลังก็ได้ (เพราะวันนี้คนอาจจะเยอะเกินไป) หรือ หากิจกรรมอะไรทำระหว่างรอก็ได้ เช่น อ่านหนังสือ หรือ เล่นเกมส์บนมือถือ หรือ จะทำงานรอไปก็ยังได้
เกิดจากการสื่อสารกับบุคคลอื่นต่อสถานการณ์นั้นๆ
เช่น ระหว่างเรากับเพื่อนร่วมงาน เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน แทนที่เราจะเลือกใช้วิธีการและคำพูดที่ดี เพื่อโน้มน้าวพวกเขาให้เห็นด้วย หรือ ให้คล้อยตาม กลับทำตรงกันข้าม นั่นก็คือ เลือกเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง และใช้การเถียงเพื่อเอาชนะ ทำให้บางครั้งความคิดดีๆ ไอเดียดีๆ แต่ดันถูกนำเสนอด้วยการใช้อารมณ์ มันก็ทำให้กลายเป็นของไม่ดีไปซะงั้น และ เราอาจจะถูกมองเป็นคนไม่ดี ในสายตาคนอื่นไปด้วย
หรือ ปัญหาการพูดไม่ทันคิด หรือ พูดในสิ่งที่คิดออกมา ทั้งๆ ที่รู้ว่า สิ่งที่พูดอาจจะทำร้ายคนฟังได้ เรื่องนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาทะเลาะวิวาทในที่ทำงานได้เช่นเดียวกัน สุดท้ายคนพูดก่อนก็คือเรา เราเองเป็นคนก่อศึกครั้งนี้ ทำให้ต้องมาอารมณ์เสียในภายหลัง
เกิดจากทัศนคติของเรากับบุคคลอื่นต่อสถานการณ์นั้นๆ
เช่น เราไม่ชอบเพื่อนร่วมงานบางคน พอมีเหตุการณ์ที่เพื่อนคนนั้นพูดถึงเราไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง เราก็จะอารมณ์เสียง่ายทุกครั้ง บางทีเรายังหาเหตุผลจริงๆ ไม่ได้เลยว่าเราไม่ชอบเพื่อนร่วมงานคนนั้นเพราะอะไร มันคงไม่ใช่แค่เรื่องไม่ถูกชะตาหรอก
หรือ อาจจะมาจากเรื่องความอิจฉาก็เป็นไปได้ เช่น อิจฉาเพื่อนร่วมงานที่ได้รับการโปรโมท แทนที่จะเป็นเรา เราก็เลยอารมณ์เสีย ไม่พอใจเพื่อนร่วมงานคนนี้ และ พาลไปถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ หรือ เจ้านาย เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า ปัจจัยที่กล่าวมานั้น ล้วนมาจากการควบคุมอารมณ์ และ การบริหารอารมณ์ของเราทั้งสิ้น อารมณ์เสีย หรือ อารมณ์ไม่ดี ไม่ได้สร้างผลดี หรือ สร้างผลลัพธ์ในอย่างที่เราต้องการได้
ปัญหาเรื่อง อารมณ์เสีย จะหมดไป หากเรารู้เท่าทันอารมณ์ของเราด้วยสติ แล้วใช้ปัญญาของเราเลือกวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อมารับมือกับสถานการณ์นั้นๆ โดยต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ดีทั้งตัวเราเองและผู้อื่นด้วย (ควรการหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหา หรือทำร้ายจิตใจผู้อื่น)
การรู้เท่าทันอารมณ์ หรือ การมีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
และทักษะนี้ได้มีการจัดลำดับว่าเป็นทักษะที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ของทักษะที่จำเป็นต้องใช้ในยุคที่คนทำงานต้องต่อสู้กับ Artificial Intelligence
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอีกมากมายถึงเรื่องข้อดีของการมีทักษะความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) เช่น มีการศึกษากลุ่มบริษัทจำนวน 40 บริษัทใน Fortune 500 พนักงานขายของบริษัทที่มีทักษะความฉลาดทางอารมณ์ จะสามารถสร้างผลงานได้ดีกว่าพนักงานทั่วๆ ไปได้ถึง 50%
ในเรื่องของ Productivity ก็เช่นกัน มีการศึกษาต่อไปว่า Programmer ที่มีทักษะความฉลาดทางอารมณ์ สามารถทำงานได้เร็วกว่า Programmer ทั่วๆ ไป ถึง 3 เท่า (จากการศึกษาของ Mark Polman: “7 Bottom Line Benefits of Emotional Intelligence in the Workplace”)
นอกจากนี้พนักงานที่มีทักษะความฉลาดทางอารมณ์ มีแนวโน้มที่จะเป็นคนมีสมาธิดี สามารถทำงานภายใต้ความกดดันได้ดี ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีแรงบันดาลใจทั้งกับตัวเอง และ บางกรณีก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้เช่นกัน
และ ประการที่สำคัญก็คือ สุขภาพดี เพราะไม่มีความเครียดสะสม ไม่เก็บเรื่องราวต่างๆ มาคิดเล็กคิดน้อย ทำให้เป็นคนที่มีอารมณ์แจ่มใส และ ทำให้เป้นคนที่น่าร่วมทำงานด้วย
“ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวไม่ดีแค่ไหน หากเรามีทักษะความฉลาดทางอารมณ์ เราก็สามารถบริหารจัดการอารมณ์และความรู้สึกของเราได้”
เรื่องของ ทักษะความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) มีประโยชน์มาก ทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของเราได้ ทั้งในเรื่องส่วนตัว หรือ เรื่องการทำงาน
บทความอื่นๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
คนเก่ง คนมีความสามารถ แต่ก็ต้องมา พลาดเพราะเรื่องอารมณ์
ทักษะของหัวหน้ายุคใหม่ จำเป็นต้องมีอะไรบ้าง?